บทที่ 8 หน่วยเทียนฉีส่งคนมา
ตอนซูเจ๋อหลันพาจ้าวฉงอีมาถึงที่ว่าการ ข้างในนั้นกำลังงานยุ่งเลยทีเดียว
ซูเจ๋อหลันกับหลี่เจี่ยนหัวหน้ามือปราบของที่นี่เป็นสหายสนิทกัน หลังเขาสั่งกำชับจ้าวฉงอีไม่ให้เดินเพ่นพ่านก็ปลีกตัวเดินไปพูดคุยกับหลี่เจี่ยนอีกทางหนึ่ง
“แม่นางเสี่ยวหม่านบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงออกมาได้“ หลี่เจี่ยนเอ่ยขึ้น
“สาวน้อยต้องคอยตามใจ นอนพักอยู่ตลอดเลยรู้สึกเบื่อ โวยวายว่าอยากออกมาสูดอากาศสักหน่อยน่ะ” ซูเจ๋อหลันยิ้มอย่างจนใจอยู่บ้าง เขาไม่มีทางบอกอยู่แล้วว่าเป็นเพราะคนเจ็บที่เจ้าส่งไปนั่นหน้าตาดีเกินไปจนล่อลวงเอาหัวใจของสาวน้อยไปเรียบร้อย แล้วชื่อเสียงดีงามของน้องสาวเขายังต้องการมันอยู่หรือไม่เล่า!
ในครอบครัวหลี่เจี่ยนก็มีน้องสาว ทั้งยังเป็นหัวโจกจอมซุกซนด้วย จึงเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นตบไหล่ปลอบใจซูเจ๋อหลัน นึกในใจว่าแม่นางเสี่ยวหม่านมองดูท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยชอบให้ตามใจหรือนี่…
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นเขาเผลอเหลือบมองแม่นางเสี่ยวหม่านแวบหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางเสี่ยวหม่านก็กำลังมองมาที่ตนเช่นกัน พอสบสายตากันอยู่ดีๆ นางก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ทำเอาหัวใจหลี่เจี่ยนเต้นดังโครมครามเพราะรอยยิ้มนาง คำปลอบใจจ่อมาถึงริมฝีปากกลับเปลี่ยนไปจากเดิมทันใด
“สาวน้อยก็ต้องเอาอกเอาใจสิ!”
นับตั้งแต่จ้าวฉงอีก้าวเข้ามาในที่ว่าการก็คอยสังเกตสีหน้าของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอยู่ตลอด โดยเฉพาะหลี่เจี่ยนหัวหน้ามือปราบที่ซูเจ๋อหลันสนทนาด้วย ยามเห็นหลี่เจี่ยนมองมา นางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา และเห็นหลี่เจี่ยนยิ้มตอบนางโดยไม่รู้ตัวจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง…
เมื่อวานตอนกลางคืนพวกเขาขึ้นเขาไปเก็บกวาดรังโจรนั่น คงยังไม่พบตัวซูเสี่ยวหม่านเป็นแน่ มิเช่นนั้นเมื่อพี่ชายหัวหน้ามือปราบมองเห็นนางแล้วคงไม่มีทางสงบเยือกเย็นเช่นนี้ได้
ตอนนี้การไม่มีข่าวก็คือข่าวดี
ความเป็นไปได้ที่ซูเสี่ยวหม่านยังมีชีวิตอยู่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
หลังได้คำตอบที่ตนเองต้องการ จ้าวฉงอีก็หันกลับไปมองสิ่งของที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกำลังทำความสะอาด นางสังเกตเห็นลูกธนูวางกองรวมกันอยู่ในมุมหนึ่งก็เดินเข้าไปดูอย่างแนบเนียน
ส่วนทางฝั่งซูเจ๋อหลันไม่ทันเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสหายสนิท ได้ยินคำพูดประโยคนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาดเล็กน้อย
“ครั้งก่อนหลังดื่มสุราเจ้าบอกกับข้าว่าเด็กสาวอย่างนี้ไม่ควรเลี้ยงดูแบบตามใจแต่เล็ก”
หลี่เจี่ยนกระแอมเบาๆ นั่นมิใช่เพราะน้องสาวบ้านเขาถูกตามใจจนเกินเหตุไปหรอกหรือ เดือดร้อนถึงเขาจนที่ผ่านมาหาภรรยาไม่ได้เสียที ถึงได้ระบายความรู้สึกออกไปต่างหาก
“คราวนี้แม่นางเสี่ยวหม่านต้องเจอเรื่องร้ายแรงมา จะขอให้ตามใจสักหน่อยก็สมควรอยู่” เขากล่าวแล้วปรับสีหน้าให้จริงจังกว่าเดิม “โจรภูเขาพวกนั้นหลบหนีไปได้คนหนึ่ง ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาแก้แค้นหรือไม่ ช่วงนี้บอกแม่นางเสี่ยวหม่านว่าอย่าออกไปข้างนอกตามลำพังล่ะ”
ซูเจ๋อหลันรับคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า “คนเจ็บที่เจ้าส่งไปเมื่อวานฟื้นแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะสูญเสียความทรงจำไปหมด กระทั่งตนเองเป็นใครก็จำไม่ได้ ทางเจ้ายังมีเบาะแสอะไรอีกหรือไม่”
“สูญเสียความทรงจำ?” หลี่เจี่ยนรู้สึกปวดศีรษะ “ตอนนายพรานเจอตัวเขา คนผู้นี้ก็บาดเจ็บสาหัสหมดสติไปแล้ว คงเจอโจรภูเขามาเหมือนกัน เบาะแสอื่นก็ไม่มีแล้ว อ้อ จริงสิ บนตัวเขามีหยกประดับห้อยเอวชิ้นหนึ่ง บนหยกมีตัวอักษรอยู่ด้วย ตอนนั้นข้ากลัวว่าจะหล่นหายจึงดึงออกมาเก็บไว้ก่อน ในเมื่อเขาฟื้นแล้ว เจ้าก็เอากลับไปให้เขาแล้วกัน ลองดูว่าจะนึกอะไรออกบ้างหรือไม่”
หลี่เจี่ยนกล่าวแล้วก็เรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมา ให้เขาไปหยิบหยกประดับห้อยเอวชิ้นนั้น