“ฮัดชิ่ว!” หลังกินอาหารเย็นจ้าวฉงอีที่ถูกท่านแม่ซูคุมตัวส่งกลับห้องมาพักผ่อนแล้วจามออกมาหนหนึ่ง นางถูจมูกพลางบ่นพึมพำ “นี่ใครกำลังคิดถึงข้าขึ้นมาอีกเนี่ย เข้ากับคนอื่นได้ดีเกินไป ช่วยไม่ได้จริงๆ ล่ะนะ”
จ้าวฉงอีมั่นใจในตนเองด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่น นางเดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพ่งพินิจใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งในคันฉ่อง ยังนึกภาพแทบไม่ออกเลยว่าบนโลกนี้จะมีใครคนหนึ่งหน้าตาเหมือนนางทุกประการเช่นนี้ได้อย่างไร…
ผ่านไปพักใหญ่นางก็พรูลมหายใจยาวๆ
ตอนนี้ซูเสี่ยวหม่านอยู่ที่ใดกันนะ
คนของหน่วยเทียนฉีก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นางยังต้องอาศัยฐานะซูเสี่ยวหม่าน ถึงจะปิดบังหูตาของพวกเขาได้
จ้าวฉงอีนวดคลึงพวงแก้ม จู่ๆ ก็รู้สึกคล้ายว่าตนเองลืมเรื่องบางอย่างไป…เป็นเรื่องอะไรกันนะ นางเอียงศีรษะคิดทบทวนก็ยังคิดไม่ออก จึงโยนเรื่องนี้ออกไปจากสมอง คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดกระมัง ถึงอย่างไรถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ก็คงไม่มีทางลืมง่ายดายปานนี้
นางลุกขึ้นเคลื่อนไหวคลายเส้นเอ็นและกระดูกพักหนึ่ง ขณะเตรียมตัวจะนอนพักผ่อน อยู่ดีๆ ก็มีเสียง ‘ก๊อกๆๆ’ ดังมาจากตรงหน้าต่างราวกับมีอะไรกำลังเคาะหน้าต่างอยู่ นางลุกขึ้นขยับเข้าใกล้ริมหน้าต่างอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ผลักหน้าต่างออกไปด้วยความว่องไว คว้าสิ่งที่ก่อกวนอยู่ด้านนอกไว้ทันทีแล้วถือโอกาสปิดหน้าต่างให้สนิท
“กรู๊วๆ” เจ้าสิ่งที่ถูกนางจับไว้ในมือเอียงศีรษะ ดวงตาดั่งเมล็ดถั่วดำคู่หนึ่งกะพริบวิบวับ ท่าทางเชื่องดีเหลือเกิน
นกพิราบสีเทาแซมขาวตัวหนึ่งหรือ ช่างอ้วนท้วนสมบูรณ์จริงๆ ทั้งยังขนเรียบลื่นเป็นมันเงา
สองฝ่ายต่างมองตากันปริบๆ จ้าวฉงอีสับสนไปชั่วขณะ ก่อนสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าบนขานกพิราบผูกกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ เอาไว้ สายตาพลันฉายแววตกตะลึง นางยื่นมือไปแกะกระบอกไม้ไผ่แล้วปล่อยนกพิราบส่งสารตัวนั้น
ในกระบอกไม้ไผ่มีจดหมายฉบับหนึ่ง
จ้าวฉงอีเปิดจดหมายด้วยสีหน้าจริงจัง ระหว่างนั้นนางก็คิดฟุ้งซ่านไปหลายเรื่อง เป็นกองทัพสกุลจ้าวมีปัญหา หรือเกิดอะไรขึ้นกับหนานชิว หรือว่าเสี่ยวจิ่วมีข่าวสำคัญอะไร หรือว่าจะ…
พอนางอ่านจดหมายฉบับนั้น การคาดคะเนที่ไม่เกี่ยวข้องกันสารพัดอย่างพลันหยุดชะงักลงกลางคัน
พูดง่ายๆ ว่า…นี่เป็นจดหมายรักฉบับหนึ่ง
นี่เป็นจดหมายรักที่เขียนถึงซูเสี่ยวหม่าน เขียนมาหนึ่งหน้ากระดาษเต็มๆ ล้วนเป็นถ้อยคำและประโยคหวานเลี่ยนชวนให้ใจว้าวุ่นอย่าง ‘เจ้าคือแก้วตา เจ้าคือดวงใจของข้า หนึ่งวันไม่เห็นหน้าเจ้า ข้าก็คิดถึงเหลือเกิน’ ทำนองนี้
…กระทั่งพวกนักรบที่ไม่แตกฉานด้านบทประพันธ์กลอนกวีอย่างจ้าวฉงอียังมองสภาพเหมือนสุนัขผายลมไม่ทะลุ ของจดหมายฉบับนี้ออกเลย ระคายลูกตามากจริงเชียว
จ้าวฉงอีมองข้ามเนื้อความทั้งหมดไปยังส่วนลงนามท้ายจดหมาย ซึ่งลงท้ายด้วยสามตัวอักษร ลายมือดุจสุนัขคลานว่า ‘เจิ้งจื่ออั๋ง’
หืม? แซ่เจิ้ง? เจิ้งจื่ออั๋ง?…คางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ตัวนั้น?
จ้าวฉงอีเหลือบมองนกพิราบตัวอ้วนที่กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะแวบหนึ่ง เจ้าพิราบกำลังแหงนหน้ามองนางอย่างโง่งม ทั้งยังใช้จะงอยปากไซ้ขนปีกเล็กน้อยเป็นครั้งคราว คล้ายกำลังรอให้นางเปิดหน้าต่างปล่อยมันออกไป
จ้าวฉงอีมองสำรวจนกพิราบตัวอ้วนขึ้นๆ ลงๆ แล้วหัวเราะออกมากะทันหัน