บทที่ 10 ขนมฟักเชื่อม
จ้าวฉงอีหยิบกรงไม้ไผ่กรงหนึ่งมาจากห้องครัวแล้วโยนนกพิราบตัวอ้วนเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตูกรงอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ เตรียมหิ้วกรงนกเดินกลับห้องของตนโดยมีดวงตาดั่งเมล็ดถั่วดำของนกตัวนี้จ้องเขม็ง ก่อนกลับยังหยิบเมล็ดข้าวโพดกำหนึ่งมาป้อนมันอีกด้วย ยายเฒ่าเฝิงยังมอบขนมฟักเชื่อมถุงเล็กๆ ให้นางอย่างกระตือรือร้น
จ้าวฉงอีขอบคุณยายเฒ่าเฝิง นางหิ้วกรงนกพร้อมถือข้าวโพดกับขนมฟักเชื่อมกลับไปเต็มไม้เต็มมือ
ก่อนหน้านี้นางคาดเดาว่าซูเสี่ยวหม่านถูกคนของแคว้นหนานเซียงลักพาตัวไป บางทีอาจเพราะเข้าใจผิดว่าซูเสี่ยวหม่านคือนาง ดังนั้นถ้าคนที่ลักพาตัวซูเสี่ยวหม่านไม่คิดพานางกลับหนานเซียงก็คงพานางกลับเมืองหลวง นางตั้งใจจะฝากคนของเสี่ยวจิ่วให้ช่วยจับตาดูเส้นทางที่มุ่งหน้าไปเมืองหลวงสักหน่อย รวมถึงชายแดนติดหนานเซียงว่ามีร่องรอยของซูเสี่ยวหม่านบ้างหรือไม่ กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะส่งจดหมายให้เสี่ยวจิ่วอย่างไรดี นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกหรือ!
นกพิราบส่งสารที่ถูกเลี้ยงไว้ในบ้านทั่วไปล้วนใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณหวนคืนรัง แต่เสี่ยวจิ่วชอบทำของแปลกพิลึกพิลั่นบางอย่าง นางศึกษาค้นคว้ากรงนกพิราบแบบหนึ่งขึ้นมาได้ สามารถทำให้นกพิราบส่งสารหลงทาง จำบ้านของมันไม่ได้ และจำนางได้คนเดียว…ขอแค่ใส่แผ่นเหล็กขนาดเล็กชิ้นหนึ่งลงในกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ส่งสารก็ทำได้แล้ว
จ้าวฉงอียิ้มตาหยียามป้อนอาหารให้นกพิราบตัวอ้วน จากนั้นก็วางแผนว่าจะไปเรือนหน้าเยี่ยมเยียนคุณชายที่เสียความทรงจำผู้นั้นสักครู่ พอเอ่ยถึงเรื่องนี้นางเลยนึกได้ว่าเกือบลืมไปแล้ว ยังดีที่ซูเจ๋อหลันเตือนสติ
พอเดินมาถึงหน้าประตูนางยังหันกลับไปหยิบขนมฟักเชื่อมที่ยายเฒ่าเฝิงให้มาแล้วค่อยเดินออกไปด้วยฝีเท้าว่องไว
ซูเจ๋อหลันเฝ้ามองจ้าวฉงอีเดินไปห้องครัว ทั้งยังหิ้วกรงนกกลับห้องตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาเลยวางใจและไปพักผ่อน ไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะตอบโต้อย่างกะทันหันเลยสักนิด
ดังนั้นจ้าวฉงอีจึงเดินอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคมาตลอดทางและเข้าเรือนหน้าไปอย่างเปิดเผย
ตอนนางผลักประตูเดินเข้ามา โจวเวินหรานกำลังรู้สึกกระหายน้ำพอดี เขาลุกขึ้นมารินน้ำชาดื่มสักถ้วย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาก็หันขวับกลับไป
ครั้นมองเห็นใบหน้าที่บ่นถึงมาทั้งวันอย่างไม่ทันตั้งตัว โจวเวินหรานก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ถ้วยน้ำชาในมือพลันร่วงลงบนโต๊ะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เอ๊ะ ท่านระวังหน่อยสิ” จ้าวฉงอีเห็นภาพตรงหน้าก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาประคองเขานั่งลง
โจวเวินหรานนั่งลงอย่างตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ในมือซ่อนเศษเครื่องเคลือบแหลมคมชิ้นหนึ่งเอาไว้
จ้าวฉงอีหันไปหยิบถ้วยใบใหม่มารินน้ำชาให้เขาอีกครั้ง
โจวเวินหรานรับถ้วยใบนั้นมาเงียบๆ แล้วก้มศีรษะดื่ม ความจริงน้ำชาก็แค่แตะริมฝีปาก ไม่ไหลผ่านลำคอลงไปแม้แต่หยดเดียว…นี่เป็นความรู้สึกระมัดระวังที่เกิดจากการทำงาน ถ้าหากว่ามีพิษเล่า
“วันนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง” จ้าวฉงอีสอบถามอย่างห่วงใย
โจวเวินหรานสบตานางแวบหนึ่ง พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า “รบกวนแม่นางต้องเป็นห่วงแล้ว”
จู่ๆ จ้าวฉงอีก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมา ความจริงแล้วนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเขามากนัก…เสี่ยวจิ่วมักพูดเสมอว่านางเป็นคนทำอะไรไม่รู้จักคิด ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจ พอในใจร้อนรน นางก็รีบควักถุงขนมฟักเชื่อมของยายเฒ่าเฝิงออกมา
“ท่านจะลองชิมดูหรือไม่” นางเปิดถุงผ้าเล็กๆ ออก
นี่คือ…เอามาให้ข้าหรือ