ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 141-142
บทที่ 142
รถม้าขบวนหนึ่งเคลื่อนไปบนถนนหลวงอย่างเอิกเกริก เดิมทีก่วงเสียนอ๋องกับเซียงซีกงต่างคนต่างพาครอบครัวมุ่งหน้าไปอวยพรวันเกิดยังจวนอู่เสียนอ๋อง ทว่าบังเอิญได้พบกันระหว่างทางจึงร่วมเดินทางมาด้วยกัน ก่วงเสียนอ๋องจีโส่วเสียนมีบรรพบุรุษร่วมมารดากับอดีตฮ่องเต้ เซียงซีกงหรงเฮ่อหยางมีมารดาเป็นพี่สาวร่วมอุทรกับปฐมฮ่องเต้ สองตระกูลมีที่ดินศักดินากว้างใหญ่ไพศาลอยู่ไกลจากเมืองหลวง จะมาเข้าเฝ้าเพียงช่วงปีใหม่ในทุกปี
เหล่าคนหนุ่มเดินทางโดยการขี่ม้า จีเจี๋ยบุตรชายก่วงเสียนอ๋องยิ้มพลางเอ่ยปาก “น้องหยวนโย่ว พวกเราไม่ได้พบกันหลายปีทีเดียว”
จีซวี่ผู้เป็นน้องชายกล่าวเออออตาม “ไม่ได้พบกันหลายปีจริงๆ ตอนยังเล็กพวกเราเจอกันบ่อยครั้ง แต่ปีก่อน สองปีก่อน…ราวสามปีได้ที่ไม่ได้พบกับซื่อจื่อ น้อย”
ซื่อจื่อน้อยที่ถูกกล่าวถึงคือหรงหยวนโย่วหลานชายสายตรงของเซียงซีกง
หรงหยวนโย่วมีรูปร่างหน้าตาดีเป็นที่สุด คิ้วทรงดาบ ตาเป็นประกาย ริมฝีปากดั่งแต้มด้วยชาด ในท่วงทีสุภาพเรียบร้อยละมุนละม่อมแฝงด้วยความฮึกเหิมของคนหนุ่ม เสมือนหนึ่งกระบี่วิเศษที่กลับเข้าฝักแต่เข้าไม่ทั้งหมด ประกายแหลมคมปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ เสียงของเขาก็น่าฟังเหลือเกิน เสนาะโสตราวกับเสียงสายธารใสที่น้ำแข็งละลายปริแตกในต้นวสันตฤดู
เขาอมยิ้มกล่าวว่า “หลายปีก่อนมารดาป่วยหนัก หยวนโย่วต้องเฝ้าไข้ ไม่กล้าจากไปที่ใดโดยพลการ ปีนี้มารดาอาการดีขึ้นมาก ถึงตามบิดามาเมืองหลวงได้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านป้าแข็งแรงก็ดีแล้ว”
ครั้นแล้วไม่กี่คนก็เริ่มถกกันถึงเรื่องความขึ้นลงของชะตาชีวิตกู้จิ้งหยวน ทว่าคุยกันได้ไม่กี่คำก็เปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องที่เบาสมองลง นัดแนะกันไปตีคลี
ซื่อจื่อและเหล่าคุณชายสนทนาสรวลเสเฮฮากันบนหลังม้า ส่วนเหล่าคุณหนูของสองตระกูลนั่งเบียดพูดคุยสนุกสนานกันในรถม้าคันเดียว
ท่านหญิงเป่าซั่วหรงหวั่นอินน้องสาวฝาแฝดของหรงหยวนโย่วกล่าวว่า “ข้ากับพี่ชายไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปีจนไม่รู้เรื่องราวสำคัญในเมืองหลวงแล้ว มีเรื่องสนุกใดบ้างหรือไม่”
ท่านหญิงเหวินเหลี่ยนจีผิงเหลียนน้องสาวของจีเจี๋ยจึงเอ่ยตอบ “มีอยู่มากมายเชียว ต้องเล่าอย่างละเอียดจึงจะใช้ได้ ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องในบ้านของอู่เสียนอ๋องนั่นล่ะ แม้น้องหญิงจะอยู่ห่างไกล แต่เรื่องของอู่เสียนอ๋องเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“พอทราบอยู่ เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึง!”
“เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องของสองหลีแห่งเมืองหย่งอันหรือไม่” จีผิงเจวียนน้องสาวของจีผิงเหลียนรีบพูดแทรก “บ้านสามีของหลีคนพี่ฉวยโอกาสยามสกุลกู้ตกยาก ฉากหน้าต้องการหย่านางแล้วแต่งงานใหม่ ซ้ำลับหลังยังจะจับหลีคนพี่ไปเป็นอนุนอกเรือน หลีคนพี่เองก็มีนิสัยใจเด็ดเช่นกัน นางดื่มยาขับเลือดขับเด็กออก ล้วนกล่าวกันว่าอดีตสามีของหลีคนพี่ถูกหน่วยเสวียนจิ้งประหารหลังจากก่อความผิด แต่ก็ได้ยินอีกว่าอันที่จริงถูกหลีคนพี่ฆ่าตาย ต่อมาอู่เสียนอ๋องได้อำนาจกลับคืน ไม่จำเป็นที่เขาต้องลงมือด้วยตนเองโดยสิ้นเชิง เพื่อจะประจบเขา มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรข่มเหงกดหัวตระกูลอดีตสามีของหลีคนพี่จนจมโคลน”
หรงหวั่นอินฟังแล้วก็ตะลึงลาน
“ส่วนหลีคนน้อง…นั่นยิ่งน่าสนใจ การหมั้นหมายกับจีเซ่าที่มีอยู่แต่เดิมเป็นอันล้มเหลวไม่พอ ยังถูกบีบให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งงานกับท่านอาห้าของจีเซ่าอีก ใช่แล้ว ก็คือจีเจาหัวหน้าหน่วยเสวียนจิ้งที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาและชอบถลกหนังคนมาทำเป็นโคมไฟที่สุดผู้นั้นนั่นล่ะ!”
หรงหวั่นอินสูดหายใจเย็นเยือก อุทานถามด้วยความตกใจ “เช่นนั้น…เช่นนั้นนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ยังมีชีวิตอยู่ ได้ยินว่าจีเจาถึงกับดีต่อนางไม่เลว แต่ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้าเลย” จีผิงเจวียนลดเสียงลง “นางเสียโฉมแล้ว ถูกลูกชู้ของจีเจาเอาไข้ทรพิษมาติดจนทิ้งรอยตะปุ่มตะป่ำไว้เต็มหน้า!”
“ผิงเจวียน!” จีผิงเหลียนมองน้องสาวปราดหนึ่งอย่างกึ่งตำหนิ
จีผิงเจวียนสงวนกิริยาลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่ข้ากำลังเล่าเรื่องในเมืองหลวงให้น้องหวั่นอินฟังอยู่ ประเดี๋ยวไปถึงจวนอู่เสียนอ๋องก็ต้องได้พบพี่น้องสกุลกู้ รู้เรื่องพวกนางไว้มากหน่อยก็ช่วยกันไม่ให้น้องหวั่นอินพูดอะไรผิดไปมิใช่หรือ”
หรงหวั่นอินพยักหน้าช้าๆ “พี่ผิงเจวียนพูดถูกต้อง ล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อข้า เพียงแต่…เจี้ยนหลีเสียโฉมแล้วจริงหรือ มี…มีรอยตะปุ่มตะป่ำทั้งหน้า?”
นางมองไปยังสองพี่น้องสกุลจีอย่างไม่อยากจะเชื่อ จวบจนจีผิงเหลียนพยักหน้า นางถึงค่อยๆ รับข่าวนี้ได้แล้วเอ่ยถามว่า “พวกท่านได้เห็นเองกับตาแล้วหรือ ร้ายแรงหรือไม่”
“ปกติข้ากับพี่หญิงก็อยู่ที่ที่ดินศักดินา ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ย่อมจะไม่สามารถเห็นเองกับตา ทว่าคนที่ได้เห็นเองกับตาในเมืองหลวงมีไม่รู้ตั้งเท่าไร ในงานแต่งงานของหลงอวี๋จวินเมื่อสามเดือนกว่าก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า เวลานั้นคุณหนูสกุลถังออกวาจาส่อเสียดอยู่หลายครั้ง หมายจะทำให้กู้เจี้ยนหลีขายหน้า แต่กู้เจี้ยนหลีก็ไม่หวั่น ปลดผ้าคลุมหน้าลงด้วยตนเอง ให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างเปิดเผย” จีผิงเจวียนกล่าว
จีผิงเหลียนถอนหายใจ “ช่างน่าเสียดายนัก”
แม้นางจะกล่าวเช่นนี้ ในสีหน้ากลับไม่มีแววเสียดายสักเท่าไร ภายนอกนางคงกิริยาเรียบร้อยภูมิฐานตามฐานะท่านหญิงไว้ แต่ภายในใจก็อยากรู้อยากเห็นต่อใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีในยามนี้เช่นกัน
“คุณหนูถังผู้นั้นเป็นผู้ใด เหตุใดต้องเหน็บแนมกู้เจี้ยนหลีด้วย” หรงหวั่นอินถามด้วยความสงสัย
จีผิงเจวียนรีบเล่าถึงความขัดแย้งระหว่างถังหงฮุ่ยกับกู้เจี้ยนหลีและจีเสวียนเค่อ
Comments



