หรงหวั่นอินหยิบขนมหวานบนโต๊ะเล็กมากินชิ้นหนึ่ง ยิ้มจนตาโค้งให้จีผิงเจวียน “พี่ผิงเจวียนเก่งยิ่งนัก ตัวอยู่ไกลถึงทางใต้ กลับรู้เรื่องใหม่ๆ ในเมืองหลวงมากเพียงนี้!”
จีผิงเจวียนรู้สึกเช่นกันว่าตนเองชักจะพูดมากไปแล้ว จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
เตาอุ่นภายในรถม้าร้อนอยู่บ้าง หรงหวั่นอินแง้มหน้าต่าง ทางหนึ่งคุยกับพี่น้องสกุลจีถึงเรื่องราวใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงสามปีมานี้ อีกทางก็มองทิวทัศน์ข้างนอกรถม้าพลางหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ยามมายังเมืองหลวงในตอนที่นางยังเล็ก
“เอ๊ะ นั่นเป็นรถม้าของตระกูลใด มุ่งหน้าไปจวนอู่เสียนอ๋องเช่นกันใช่หรือไม่”
จีผิงเจวียนชะเง้อมองไปก็เห็นจีอู๋จิ้งประคองกู้เจี้ยนหลีขึ้นรถม้าก่อนก้าวตามขึ้นไปพอดี ฉางเซิงกับจี้ซย่านั่งอยู่ด้านหน้า กำลังเร่งให้รถม้าแล่นไปข้างหน้า เนื่องจากอยู่ไกลกันพอสมควร นางมองเห็นไม่ชัด จึงชะโงกหน้าออกไปร้องเรียกจีซวี่มาสอบถามใกล้ๆ
จีซวี่มุ่นคิ้วโคลงศีรษะ พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าอาจจะเป็นรถม้าของจีเจา”
จีผิงเจวียนสะดุ้งตกใจ รีบหดศีรษะกลับไป เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้แม่นางทั้งสามในรถม้าหวาดกลัวอยู่ครามครันแล้ว
ผ่านไปครู่ใหญ่หรงหวั่นอินก็ถามว่า “แสดงว่า…คนที่ถูกประคองขึ้นรถม้าเมื่อครู่นี้คือกู้เจี้ยนหลี?”
เป็นพักใหญ่จีผิงเหลียนถึงได้ตอบรับ “น่าจะใช่กระมัง…”
กู้เจี้ยนหลีกลับขึ้นรถม้า ถอดเสื้อคลุมออกมาตรวจดูอย่างละเอียด ครั้นเห็นว่ายังอยู่ในสภาพดีไม่ได้เปื้อนโคลนหิมะและไม่มีรอยยับก็วางไว้ด้านข้างด้วยความพอใจ จากนั้นก็รื้อชุดสำรองออกมาจากในหีบใต้ม้านั่งยาว
นางก้มหน้าแก้สายรัดตรงหน้าอก สายรัดสีเหลืองอ่อนเส้นยาวผูกเป็นเงื่อนผีเสื้อ นางเพิ่งจะดึงสายได้เล็กน้อยก็หยุดมือ เหลือบตาขึ้นมองไปยังจีอู๋จิ้งอย่างระแวดระวัง
จีอู๋จิ้งเท้าคาง ตั้งใจจะดูนางเปลี่ยนชุดอย่างสนอกสนใจ
กู้เจี้ยนหลีตื่นตัวขึ้นมาทันที เนื่องด้วยจีอู๋จิ้งหาความจริงจังไม่ได้เอาเสียเลย เกรงว่าเขาจะลวนลามนางในรถม้า นางจึงก้มตัวลงค้นในหีบ หาผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมา
“ยื่นมือมาให้ข้า” กู้เจี้ยนหลีกล่าว
จีอู๋จิ้งมองนางปราดหนึ่ง คาดเดาความคิดของนางได้ปรุโปร่ง เขาแค่นหัวเราะทีหนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือทั้งสองข้างให้นาง ปล่อยให้นางใช้ผ้าคลุมไหล่อ่อนนุ่มมัดมือเขาเอาไว้
กู้เจี้ยนหลีตัวสั่นระริกอยู่หลายทีถึงค่อยกัดฟันออกแรงรัดผ้าจนแน่น ผูกเป็นเงื่อนตาย มัดสองมือเขาไว้แล้วก็ยังไม่พอ นางยังจับชายผ้าคลุมไหล่ที่เหลือพันอ้อมผ่านคอมาปิดตาเขาไว้อย่างหมิ่นเหม่ด้วย
เสร็จแล้วนางก็กระตุกมุมปาก เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความพออกพอใจ
กู้เจี้ยนหลีเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงหรูฉวินเอวสูงสีแดงอ่อนตรงหน้าอกใช้สายรัดแถบกว้างสีน้ำเงินเข้มรัดไว้ จับคู่กับผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยกชายกระโปรงขึ้น มองดูรองเท้าที่ใส่อยู่กลับเห็นว่าไม่เข้ากับชุดตัวนี้แล้ว ทว่ายังดีที่รถม้าต้องจอดตรงประตูข้าง นางสามารถกลับไปเปลี่ยนคู่ใหม่ที่ห้องนอนเดิมของนางได้ นี่เป็นการกลับบ้านตนเอง มิใช่ไปเป็นแขกยังบ้านผู้อื่น
หลังจัดการตนเองเรียบร้อย กู้เจี้ยนหลีก็มองจีอู๋จิ้ง เขาพิงผนังรถม้าอยู่เงียบๆ เรียบร้อย สองมือที่ถูกมัดไว้ห้อยอยู่ตรงหน้าอกในท่าที่ชวนอึดอัด
นางมองดูสภาพถูกมัดอย่างน่าสงสารเช่นนี้ของเขา ในใจให้เกิดความรู้สึกสุขีปรีดิ์เปรมอย่างน่าประหลาด
“กู้เจี้ยนหลี เจ้าจะแก้มัดข้าได้เมื่อไร” จีอู๋จิ้งถามอย่างหมดความอดทน
กู้เจี้ยนหลีเท้าแก้ม ใบหน้าอมยิ้ม แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ายังเปลี่ยนไม่เสร็จเลย”
จีอู๋จิ้งหยุดส่งเสียงแล้วหลับตาลงเสียเลย
จนกระทั่งรถม้าใกล้ถึงจวนอ๋อง กู้เจี้ยนหลีถึงได้แก้ปมที่หลังศีรษะของเขาออก ยามนางมัดใช้แรงพอสมควร ยามแก้จึงมิวายต้องเปลืองแรง รถม้าจอดลงที่ประตูข้างของจวนอ๋องแล้ว นางก็ยังคงก้มหน้าออกแรงแก้ผ้าคลุมไหล่บนข้อมือชายหนุ่มอยู่
จี้ซย่าร้องเรียกอยู่ด้านนอกเป็นรอบที่สอง “ฮูหยิน ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว” กู้เจี้ยนหลีตอบรับ รู้สึกร้อนใจหนักกว่าเดิม ทว่ายิ่งร้อนใจก็ยิ่งแก้ไม่ออก นางได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจของฝูงชนแว่วๆ คิดในใจว่าหากหยุดอยู่ตรงนี้นานเกินไปคงดึงดูดสายตาคนเป็นแน่!