กู้ไจ้หลีพลันยกมุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
หรงหยวนโย่วเริ่มร้อนใจ เขามองสบสายตานางแล้วรีบเอ่ยว่า “ข้ามาด้วยความจริงใจ ท่านอย่ายิ้ม”
“ได้ ไม่ยิ้ม” กู้ไจ้หลีเก็บรอยยิ้มลง ทำหน้าเคร่งขรึม
หรงหยวนโย่วเหลือบมองนางแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นพูดติดอ่าง “ท่าน…ท่าน…ท่านยิ้มไปเถิด”
ท่านยิ้มได้น่ามอง น่ามองเหลือเกิน
กู้ไจ้หลีคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “รูปลักษณ์ภายนอกล้วนเป็นของปลอม คนงามทุกคนล้วนจะแก่ตัวลง กลายเป็นอัปลักษณ์ ซื่อจื่อน้อยอายุยังน้อย ยิ่งควรรอบคอบระมัดระวังเรื่องการแต่งงาน พี่สาวอย่างข้ามิใช่คู่ครองที่เหมาะสมกับเจ้า”
หรงหยวนโย่วพลันรู้สึกปวดแปลบในใจ
“ท่านคิดว่าข้านึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาชั่ววูบเพราะถูกใจรูปโฉมของท่านหรือ” เขากล่าว “ตอนแรกเป็นเพราะอายุยังน้อยนี่ล่ะ ถึงทำได้เพียงมองดูท่านออกเรือนไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ มีปากก็มิอาจพูดได้”
กู้ไจ้หลีตกตะลึง
หรงหยวนโย่วแข็งใจ มองไปที่ดวงตาของกู้ไจ้หลีแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าแก้ไขอายุไม่ได้ แต่หากท่านรังเกียจว่าข้าไม่สุขุมมั่นคงพอ ข้าสามารถพยายามเติบโตขึ้นเพื่อให้การปกป้องคุ้มครองท่านได้”
กู้ไจ้หลีเผลอหัวเราะก่อนส่ายหน้า “ซื่อจื่อน้อยใคร่ครวญให้ดี”
“ยามท่านเกิดข้ายังไม่เกิด ยามนี้มิกล้าปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างไร้ค่าอีกต่อไป”
กู้ไจ้หลีช้อนตามองเขาอย่างลึกซึ้ง นางยกกาบนโต๊ะมารินชาที่หายร้อนแล้วลงในถ้วยก่อนจะยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ดื่มชาสักนิดเถิด” นางอมยิ้มพูด
หรงหยวนโย่วยังคงดื้นรั้นไม่ยอมทำตาม
กู้ไจ้หลียิ้มหวาน ยังคงไม่ได้วางถ้วยชาที่ชูอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายลง นางกล่าวว่า “เจ้าตาแดงแล้ว หน้าก็แดงเช่นกัน ดื่มชาเย็นๆ ให้ดีขึ้นสักหน่อย ประเดี๋ยวสาวใช้จะเข้ามาแล้ว”
หรงหยวนโย่วอึ้งงัน รับชาเย็นๆ ที่กู้ไจ้หลียื่นให้ด้วยท่าทางหลบเลี่ยงสายตาอยู่บ้าง
น้ำชาไหลลงท้อง เย็นโดยแท้ ความเย็นค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากในกาย ถ่านไหมเงิน* ที่จุดอยู่ในห้องก็ทำให้ความหนาวเย็นชนิดนี้คลายลงไม่ได้
หรงฮูหยินกับเถาซื่อสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ในโถงด้านข้าง สำหรับเรื่องระหว่างหรงหยวนโย่วกับกู้ไจ้หลี หรงฮูหยินเพียงเอ่ยไม่กี่คำอย่างเรียบง่ายชัดเจนตรงประเด็น ที่เหลือไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว เมื่อหรงหยวนโย่วกลับมาจากไปหากู้ไจ้หลี หรงฮูหยินก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ระหว่างทางกลับ หรงฮูหยินมองบุตรชายที่เอาแต่เงียบ ยิ้มพลางเอ่ยถาม “นางปฏิเสธเจ้าหรือ”
หรงหยวนโย่วส่ายหน้า สีหน้าติดจะงงงันขณะเอ่ยตอบ “ลูกก็ไม่รู้ขอรับ”
เวลานั้นเขาดื่มชาเย็นที่กู้ไจ้หลียื่นมาให้ลงไปได้ไม่นานนัก จี้ชุนก็ยกกาใหม่เข้ามา เขาดื่มชาร้อนลงไปอย่างเงียบๆ อีกสองถ้วยแล้วก็จากมา คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก
หรงฮูหยินแย้มยิ้ม พิงผนังรถม้าอย่างสบายอกสบายใจ นางไม่แปลกใจเลยสักนิด
หลังแม่ลูกสกุลหรงจากไปแล้ว เถาซื่อก็รีบให้คนไปเชิญกู้เจี้ยนหลีมา นางไม่มีความคิดอะไร จึงอยากลองถามความเห็นของกู้เจี้ยนหลีดู แขกเหรื่อในวันนี้จากไปกันเกือบหมดแล้ว แต่ยังมีอีกสองสามคนถูกกู้จิ้งหยวนรั้งตัวให้อยู่สนทนากันในห้องหนังสือต่อ เถาซื่อไม่อาจไปถามความเห็นของเขาได้ ถึงได้เรียกหากู้เจี้ยนหลี
“หลังซื่อจื่อน้อยจากไปแล้ว พี่หญิงได้พูดอะไรหรือไม่” กู้เจี้ยนหลีถาม
สาวใช้รุ่นเยาว์เอ่ยรายงานตามตรง “ไม่ได้พูดเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินพี่จี้ชุนบอกว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังตรวจดูบัญชีของเรือนสวนอยู่ พอถึงปลายปี ไม่ว่าเรือนสวนหรือร้านค้าล้วนจะมีงานมากเป็นพิเศษ”
“เจี้ยนหลี เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องการแต่งงานนี้” หัวคิ้วเถาซื่อขมวดมุ่น “สกุลเฉินไม่ใช่คน พี่สาวเจ้าถูกทำร้ายมาหนหนึ่งแล้ว จะแต่งงานอีกครั้งพึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดได้อีกเด็ดขาด…”
กู้เจี้ยนหลีคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “วันนี้พี่หญิงยังพูดกับข้าอยู่เลยว่านางรู้สึกว่าชีวิตในยามนี้ดียิ่ง อิสรเสรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้รู้แล้วว่าสตรีออกจากเรือนหลังแล้วถึงกับสามารถมีชีวิตได้อิสระผ่อนคลายปานนี้…” นางลังเลอยู่บ้าง “เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าซื่อจื่อน้อยสกุลหรงจะดีหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพี่หญิงคิดอย่างไร”
“แต่จะไม่แต่งงานอีกเลยชั่วชีวิตได้เชียวหรือ” เถาซื่อค่อนข้างสับสน นางอยู่ในกรอบจนชินแล้ว จึงรับความคิดของสองพี่น้องไม่ค่อยได้นัก
สาวใช้รุ่นเยาว์เข้ามารายงานว่าแขกที่อยู่กับกู้จิ้งหยวนออกจากจวนไปแล้ว เถาซื่อจึงลุกขึ้นทันที ตั้งใจจะนำเรื่องนี้ไปบอกกู้จิ้งหยวน ให้เขาตัดสินใจ