บทที่ 71
จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรบัญชาที่พวกเขาได้รับมาคือการลอบสังหาร กลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดน มากคนก็มากความ หากลือออกไปว่าฮ่องเต้โส่วตี้เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ก็ส่งคนไล่ล่าสังหารพี่ชายอย่างเปิดเผยเช่นนี้คงจะไม่เหมาะนัก
“หัวหน้า ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์รูปร่างบึกบึนผู้หนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ข้างๆ จีเสวียนเค่อ บนร่างชายผู้นี้แม้สวมชุดเกราะสีแดงเช่นทหารชายแดน ยามเอ่ยปากกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายเยี่ยงโจร
“ไม่เป็นไร” จีเสวียนเค่อฉีกชายเสื้อมาพันรอบนิ้วที่ขาด จากนั้นก็ออกแรงกำหยกประดับไว้แล้วบรรจงเก็บให้เข้าที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเกือบจะทำหยกประดับหาย หยกประดับชิ้นนี้มักจะหล่นลงจากเอวอย่างไร้สาเหตุทั้งที่เชือกผูกไว้แน่นหนา ราวกับกำลังบอกโดยนัยว่ามันไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว ทว่าทุกครั้งเขาล้วนเก็บหยกประดับชิ้นนี้กลับมาอยู่ดี
จีเสวียนเค่อพลิกตัวลงจากหลังม้าก่อนเดินมาคำนับจีเหยียน
“เจ้า…เจ้าคือจีเซ่า? รีบลุกขึ้นเถิด” จีเหยียนประหลาดใจไม่น้อย พินิจมองดูจีเสวียนเค่อตลอดร่าง
“เป็นพระกรุณายิ่งที่องค์ชายยังทรงจดจำกระหม่อมได้” จีเสวียนเค่อลุกขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“แน่นอน บัณฑิตที่ได้เป็นจ้วงหยวนตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี มีหน้ามีตาสุดประมาณ เสด็จพ่อยังเคยเอาบทความของเจ้ามาให้ข้าอ่านด้วย” จีเหยียนยิ่งมองดูจีเสวียนเค่อก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ในความทรงจำของเขา จีเสวียนเค่อเป็นดั่งหยกงาม สง่าดุจสนเขียวต้องลม ตำราวิชาความรู้เต็มท้อง เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเยี่ยงบัณฑิต เขาลองคำนวณดูในใจ พบว่ายามนี้จีเสวียนเค่อเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ทว่ากลางหว่างคิ้วกลับปราศจากแววสุภาพอ่อนโยนในกาลก่อน แทนที่ด้วยแววเฉียบคมที่เผยให้เห็นหลังเผชิญคลื่นลมหิมะกระหน่ำมาแล้ว
“องค์ชายตรัสชมเกินไปแล้ว ยามนี้ไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นาน เรารีบไปจากที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” จีเสวียนเค่อโบกมือเป็นสัญญาณ คนที่อยู่ด้านหลังก็จูงม้ามาให้ทันที
คนของจีเสวียนเค่อเหล่านี้มิใช่ทหารที่เข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ระหว่างทางที่จีเสวียนเค่อจากเมืองหลวงมาได้รู้จักกับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เขาตั้งใจรับคนเหล่านี้มาไว้ใช้สอยทั้งยังรับคนมาตลอดทาง ทำให้ยามนี้มีสมัครพรรคพวกอยู่ไม่น้อย พื้นที่แถบนี้มีหิมะตกอยู่ตลอด หมู่บ้านแถบใกล้เคียงมักจะมีหิมะตกหนักจนชาวบ้านปิดประตูไม่อาจออกไปหาอาหาร บางคราเขาจึงมักจะนำคนของเขาเหล่านี้เข้าไปหาของป่า ส่วนที่เหลือจากการตุนเสบียงจะนำมามอบให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณภูเขาลูกนี้
วันนี้ที่พบจีเหยียนเข้านับเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เขาตัดสินใจออกหน้าช่วยเหลืออย่างเฉียบขาดเองก็อาจนับได้ว่าเป็นการวางแผนเผื่อวันข้างหน้า
จีเสวียนเค่อให้คนของตนสละม้าให้จีเหยียนและผู้ติดตามที่เหลืออยู่เพียงห้าคน จีเหยียนกับซุนอิ่นหลันขี่ม้าตัวเดียวกัน พายุหิมะโหมพัดจนซุนอิ่นหลันต้องฝังตนเองลงกับแผ่นหลังของจีเหยียน โอบเอวเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ถูกพัดร่วงลงไป
จีเหยียนก้มลงมองมือของซุนอิ่นหลันตรงเอวตนเองแวบหนึ่ง สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงย่อมถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมฟุ้งเฟ้อ ร่างกายนุ่มนิ่มอย่างมาก ทว่านิ้วมือของสตรีผู้นี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยหิมะกัด จีเหยียนพลันดึงสายบังเหียนหยุดม้าก่อนลงมาสับเปลี่ยนตำแหน่งกับนางให้นางนั่งข้างหน้าแทน
ซุนอิ่นหลันไม่เข้าใจจึงมองเขาด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ทว่าเดิมทีตลอดทางมานี้นางกับจีเหยียนสนทนากันไม่ถึงห้าประโยค นางไม่อยากถามเขาจึงเพียงก้มหน้าอย่างอ่อนโยน สองมือกำอานม้าส่วนที่โค้งขึ้นน้อยๆ ตรงหน้าแน่น
จีเหยียนขึ้นม้าอีกครั้ง สองแขนโอบรอบเอวซุนอิ่นหลันพร้อมถือโอกาสดึงเสื้อคลุมหนังสัตว์ในถุงที่แขวนอยู่ข้างตัวม้ามาโยนคลุมมือคู่นั้นของนาง จากนั้นก็ควบม้าโผนทะยานตามผู้อื่นจนทัน