กู้เจี้ยนหลีเข็นรถเข็นมาหยุดอยู่ใต้ต้นหลิวในลานเรือน จากนั้นก็เงยหน้าน้อยๆ มองดูยอดไม้ เมื่อครู่นางคล้ายจะมองเห็นจากไกลๆ ว่าต้นหลิวกำลังผลิหน่อ พอเข้ามาดูอย่างละเอียดใกล้ๆ จึงค้นพบว่ามองผิดไป ยามนี้เพิ่งจะพ้นเดือนหนึ่งไม่ทันไร ฤดูเหมันต์ปีนี้ก็หนาวมาก ดูท่าคงไม่ผลิหน่อไวถึงเพียงนี้
กู้ไจ้หลีกลับมาที่เรือนยามตะวันรอน เห็นน้องสาวนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นหลิวจึงก้าวเข้าไป
“เหตุใดจึงอยู่ที่นี่คนเดียว”
“พี่หญิง” กู้เจี้ยนหลีถอนสายตากลับมาส่งยิ้มให้พี่สาว
“ลมทำท่าจะพัดแรงแล้ว เข้าห้องก่อนเถิด” กู้ไจ้หลีเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังรถเข็นของน้องสาวแล้วเข็นพาอีกฝ่ายกลับเข้าห้อง
กู้เจี้ยนหลีถามขึ้น “พักนี้ทุกคนในเรือนต่างยุ่งมาก มีเพียงข้าที่ช่วยอะไรไม่ได้ ว่างยิ่งนัก ต้นหลิวจะผลิหน่อ ข้ากลับจะเหี่ยวเฉาแล้ว”
กู้จิ้งหยวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง คนมากมายล้วนพากันขวัญหนีดีฝ่อเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะพวกที่เคยเหยียบย่ำยามกู้จิ้งหยวนลำบาก ยามนี้ล้วนแล้วแต่กลายเป็นนกตื่นธนู* เมื่อก่อนหลบลี้หนีหน้าไกลเพียงใด เดี๋ยวนี้ก็กระตือรือร้นเอาอกเอาใจเพียงนั้น เทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งมาไม่ขาด ของขวัญก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน เคราะห์ดีที่คนเหล่านั้นยังคำนึงถึงว่าคนสกุลกู้ยังพำนักอยู่ในเรือนคับแคบไม่สะดวกรับแขก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะกรูกันเข้ามาจนธรณีประตูพัง ทุกวันนี้เถาซื่อต้องรับมือกับเทียบเชิญและของขวัญที่ส่งมา คัดกรองอย่างละเอียดแล้วรับไว้เพียงส่วนน้อย ที่เหลือส่วนมากล้วนแต่ถูกส่งคืน
จวนอ๋องกำลังบูรณะซ่อมแซม กู้ไจ้หลีต้องคอยดูแลเรื่องการซ่อมแซมจวนอ๋องจึงไม่สามารถดูแลกิจการหอสุราได้ชั่วคราว กระทั่งกู้ชวนเองก็ต้องไปช่วยงานที่จวนอ๋องอยู่บ่อยครั้ง
กู้จิ้งหยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยามนี้ฮ่องเต้โส่วตี้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ ในราชสำนักเกิดเรื่องมากมายทำให้เขายุ่งจนหายหน้าหายตา บางครั้งยังสะสางงานจนค่ำมืดไม่กลับเรือน
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีเพียงกู้เจี้ยนหลีที่ยังว่าง นางอยากจะช่วยอะไรบ้าง แต่ไม่ว่าเถาซื่อหรือกู้ไจ้หลีล้วนอ้างว่านางต้องดูแลร่างกายให้ดี ไม่อนุญาตให้นางเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป
“ตอนนี้รักษาบาดแผลที่ขาจึงจะสำคัญที่สุด จะปล่อยให้มีอาการแทรกซ้อนตามมาไม่ได้ เมื่อเทศกาลกำเนิดบุปผา มาถึงจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงได้” กู้ไจ้หลีเข็นรถเข็นมาหยุดตรงหน้าธรณีประตู
กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นจับบานประตูไว้ ปล่อยให้พี่สาวประคองพาเข้าห้อง
นางเอ่ยสนทนาสัพเพเหระ “หากเป็นเมื่อก่อนคงใส่ใจการคบค้าสมาคมที่ยุ่งยากซับซ้อนพวกนี้ ทว่าผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงดีร้ายถึงขีดสุดมาแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหาใช่เรื่องจำเป็น”
กู้ไจ้หลีรินชาสองถ้วย เลื่อนถ้วยหนึ่งไปให้น้องสาว จากนั้นก็จิบชาร้อนคำหนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีบางเรื่องยังคงต้องทำอยู่”
กู้ไจ้หลีเพิ่งจะกล่าวจบ จี้ซย่าก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนก่วงผิงป๋อมาเจ้าค่ะ!”
“นางหรือ” ในใจกู้เจี้ยนหลีผุดความประหลาดใจขึ้นแวบหนึ่ง เดาออกในทันทีว่าคนจวนก่วงผิงป๋อมาที่นี่ด้วยเหตุใด
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าพบหน้ากู้เจี้ยนหลีไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาเช่นในตอนแรกแล้ว บนใบหน้าของนางระบายยิ้มจนเกิดรอยยับย่นไปทุกส่วน คว้ามือกู้เจี้ยนหลีไปกุมไว้อย่างสนิทสนม เรียกขานว่า ‘ลูกสะใภ้คนดี’ แทบทุกคำ
“เจ้ากลับมาพำนักอยู่บ้านเดิม แม่ไม่ได้ไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้ากับอู๋จิ้งพักอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แม่คิดถึงพวกเจ้ามาก ควรจะกลับจวนได้แล้ว!”
กู้เจี้ยนหลีฟังนางแทนตนเองว่า ‘แม่’ ทุกคำแล้วรู้สึกเก้อกระดากยิ่งนัก
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าหวานเชื่อมราวกับเคลือบน้ำผึ้งไว้ยามกล่าวต่อ “คุณหนูสี่กับคุณชายหกล้วนคิดถึงเจ้า เอาแต่พูดถึงเจ้าอยู่ที่จวนทุกวันเชียว!”
กู้เจี้ยนหลีไม่ได้พบเด็กสองคนนั้นนานแล้ว ใบหน้านุ่มนิ่มน่ารักทั้งสองพลันปรากฏในความคิดทำให้นางยกมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าสังเกตสีหน้าของกู้เจี้ยนหลีโดยละเอียด เห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วในใจก็รู้สึกเบิกบานถึงที่สุด น้ำเสียงยามเอ่ยวาจายิ่งหวานเชื่อมขึ้น
“เจี้ยนหลี เจ้าจะกลับจวนเมื่อไรหรือ คนทั้งจวนล้วนแต่คิดถึงเจ้านะ!”
บนใบหน้ากู้เจี้ยนหลีประดับยิ้มบาง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะห่างเหิน “เรื่องนี้ไม่แน่ใจหรอกเจ้าค่ะ รอนายท่านห้ากลับมาแล้วข้าจะถามเขาดู”
แม้จะกล่าวเช่นนี้กู้เจี้ยนหลีกลับรู้ดีว่านางไม่อาจพักอยู่ที่บ้านเดิมถาวรได้ ผ่านไปไม่เท่าไรก็คงต้องกลับไปที่จวนก่วงผิงป๋อแล้ว