“ได้ๆๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบรับเต็มปากเต็มคำ “เจ้าพักให้สบายเถิด จำได้ว่าคนที่จวนคิดถึงก็พอแล้ว แม่รู้ว่าขาเจ้าบาดเจ็บจึงเตรียมยาบำรุงมาให้ด้วย อ้อ ช่วงนี้อากาศกลับมาเย็นอีก แม่ทำเสื้อคลุมกันลมมาให้เจ้าตัวหนึ่ง ใส่ไว้จะได้อบอุ่น ระวังอย่าให้ป่วยไข้เล่า”
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจเจ้าค่ะ” กู้เจี้ยนหลีรับคำอย่างเกรงอกเกรงใจ
หลังจากส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปแล้วกู้เจี้ยนหลีก็ประสานสายตากับกู้ไจ้หลีแล้วยกยิ้ม ทั้งจนใจและโล่งใจไปพร้อมกัน
“เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าต้องกลับห้องไปตรวจบัญชีกับผังจวนสักหน่อย จวนอ๋องมีหลายส่วนที่ทรุดโทรมอย่างหนักต้องสร้างขึ้นใหม่” กู้ไจ้หลีลุกขึ้นยืน
ก่อนกู้ไจ้หลีจะจากไปได้ช่วยกู้เจี้ยนหลีเติมถ่านลงในกระถางไฟ ทั้งยังตรวจดูน้ำในกา พอเห็นว่ายังร้อนอยู่จึงค่อยจากไปอย่างวางใจ
กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกให้จี้ซย่ามาพยุงตนเองเข้าไปนั่งริมหน้าต่างในห้องชั้นใน ก่อนจะให้อีกฝ่ายวางตะเกียงบนโต๊ะแล้วนั่งทำงานเย็บปักอย่างคนไม่มีอะไรทำ
“มีอะไรค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวจะไปเฝ้าหม้อต้มยาในครัวต่อแล้ว” ทุกวันจี้ซย่าจะตั้งใจต้มน้ำแกงบำรุง แทบจะนั่งยองเฝ้าหม้อในครัวทั้งวัน
กู้เจี้ยนหลีหันไปมองทิวทัศน์ยามเย็นที่อาบย้อมด้วยแสงอาทิตย์อัสดงผ่านทางหน้าต่างอย่างติดจะเหม่อลอย
อันที่จริงตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นขึ้นสองสามวันมานี้นางแทบจะไม่ได้พบหน้าจีอู๋จิ้งเลย อีกฝ่ายมักจะทำตัวลับๆ ล่อๆ บางครานางหลับไปแล้ว รอจนครึ่งคืนหลังเขาจึงจะกลับมา บางคราก็จะอยู่กินอาหารกับนาง ทว่ามักจะมีท่าทีอ่อนเพลียไม่กล่าวอะไรมากนัก
กู้เจี้ยนหลีไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด
นางเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลง ก่อนจะหยิบสนับเข่าที่ทำค้างไว้ครึ่งหนึ่งออกมาจากในตะกร้าเก็บเครื่องมือเย็บปักแล้วลงมือเย็บต่อ สนับเข่านี้เตรียมไว้สำหรับบิดา นางเห็นเขามักจะออกจากเรือนเร็วและกลับมาช้า จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าเขาจะหนาว
เวลากู้เจี้ยนหลีจดจ่อกับการทำสิ่งใดขึ้นมามักจะไม่ค่อยสนใจสิ่งอื่นรอบข้าง ดังนั้นเมื่อจีอู๋จิ้งนั่งลงที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะ นางจึงค่อยรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว
กู้เจี้ยนหลีอึ้งไป นางช้อนตามองเขาพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“นี่ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังกล่าววาจาเหลวไหลอยู่หรือไร” จีอู๋จิ้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางพลางมองกู้เจี้ยนหลีเย็บสนับเข่า
กู้เจี้ยนหลีนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่วาจาเหลวไหลแต่เป็นคำทักทายอย่างสุภาพ เป็นมารยาท”
ว่าแล้วนางก็ก้มหน้าลงเย็บสนับเข่าต่อ
จีอู๋จิ้งยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจก่อนพลิกดูด้ายหลากสี ผ้าเช็ดหน้าที่ปักได้เพียงครึ่งหนึ่ง ตลอดจนถุงหอมในตะกร้าตามใจ
กู้เจี้ยนหลีปล่อยให้เขาทำตามใจโดยไม่สนใจ
“กู้เจี้ยนหลี นี่คือสิ่งใด” จีอู๋จิ้งถามขึ้นอย่างเชื่องช้า
กู้เจี้ยนหลีช้อนตามอง เห็นชายหนุ่มใช้นิ้วหนีบผ้าซับระดูแกว่งไปมาก็ตกใจจนปล่อยสนับเข่าร่วงลง รีบแย่งของจากมือเขามาวางลงบนตักใต้โต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนขมวดคิ้วมองเขา
“ท่านห้ามแตะต้องสิ่งนี้นะ!”
เดิมทีจีอู๋จิ้งไม่ได้ใส่ใจ ทว่าจู่ๆ กลับถูกนางแย่งของไปจึงประหลาดใจอยู่บ้าง ถามขึ้นว่า “มิใช่เพียงแถบผ้าผืนหนึ่งหรือ ไม่ได้จะแย่งเจ้าสักหน่อย ต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือไร”
กู้เจี้ยนหลีรู้สึกเก้อกระดาก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ผ้าผืนนี้จี้ซย่าเพิ่งจะทำให้นางเพียงครึ่งเดียว ลายปทุมบนนั้นยังปักไม่เรียบร้อย
จีอู๋จิ้งกวาดสายตามองตะกร้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าซับระดูออกมาใหม่อีกผืน ผืนนี้เป็นกู้เจี้ยนหลีทำเอง เป็นสีชมพูอ่อน ลวดลายบนผืนผ้ายังปักไม่เรียบร้อยเช่นกัน
“เอาคืนมานะ!” กู้เจี้ยนหลียื่นมือไปแย่ง
จีอู๋จิ้งจะปล่อยให้นางแย่งไปอีกได้อย่างไร ร่างกายท่อนบนของเขาเอนไปด้านหลังพลางถือผ้าผืนนั้นไว้ตรงหน้า พินิจมองดูอย่างสนอกสนใจก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ซ่อนจดหมายรักไว้หรือ”
กู้เจี้ยนหลีอึดอัดคับข้องใจ “นี่เป็นของใช้ของสตรี ท่านจะมาหยิบจับส่งเดชไม่ได้! รีบคืนมานะ!”
จีอู๋จิ้งมองนางแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจก่อนเลื่อนสายตาไปหยุดที่แถบผ้าในมือตนเอง ครู่หนึ่งก็พลันกระจ่างแจ้ง
“ที่แท้เป็นสิ่งนี้นี่เอง” เขาคลำผ้าซับระดูโดยละเอียดก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “เนื้อผ้าเช่นนี้ไม่นุ่มพอนี่นา”
“เอาคืนมา…” กู้เจี้ยนหลีกำหมัดทุบโต๊ะ
“เจ้านี่ใส่เข้าไปอย่างไร” จู่ๆ จีอู๋จิ้งก็นึกสนอกสนใจ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยก่อนกะขนาดกับหว่างขาไปเรื่อย