ฝ่ายพ่อบ้านซ่งสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง ประหลาดใจอย่างยิ่งที่กู้เจี้ยนหลีตอบรับอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พลันนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับมา จึงยกยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้จึงจะถูกต้อง ด้วยสภาพการณ์นี้ วันนี้อยู่ได้ใช่ว่าพรุ่งนี้จะยังอยู่ได้เช่นกัน ไขว่คว้าสิ่งใดได้ก็ไขว่คว้าไว้ก่อนเถิด”
กู้เจี้ยนหลีสีหน้าเรียบนิ่ง ท่าทีห่างเหินเฉยชา ไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใดต่ออีก
พ่อบ้านซ่งพลันนึกกระดากอาย ฉวยโอกาสที่เถาซื่อยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบพาบ่าวรับใช้อีกสองคนจากไปอย่างรวดเร็ว
เรือนน้อยคับแคบเงียบสงบลงในที่สุด เถาซื่อกลั้นน้ำตาพลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดจึงทำเช่นนี้ จวนก่วงผิงป๋อจงใจหยามเกียรติให้พวกเราเป็นฝ่ายออกปากขัดราชโองการปฏิเสธการแต่งงานนี้เอง จวนเรายามนี้แบกรับโทษประหารเอาไว้แล้ว จะรับโทษขัดราชโองการอีกสักความผิดจะเป็นไรไป ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเงินมารักษาท่านพ่อของเจ้า แต่เราหาเงินได้มากมายหลายวิธี เหตุใดต้องให้เด็กสาวเช่นเจ้าเอาชีวิตไปแลกด้วยเล่า เพียงเจ้าปักผ้าสักหน่อย ข้านำไปขายให้ร้านก็ได้เงินมา…”
กู้เจี้ยนหลีหลุบตา เสียงของนางทั้งแหบต่ำและแผ่วเบา แต่แฝงไว้ซึ่งความดื้อดึง “ถึงจะกล่าวกันว่าพยานหลักฐานมีพร้อม แต่ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อเป็นคนเช่นนั้น ที่บีบให้เราขัดราชโองการหาใช่จวนก่วงผิงป๋อ ทว่าเป็นคนในวัง หากเราขัดราชโองการยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ย่อมเป็นการตกหลุมพราง เช่นนั้นพวกเราจะไม่มีทางมีชีวิตรอดถึงวันที่ท่านพ่อได้ล้างมลทินเป็นแน่ มีชีวิตห้าสิบปีนับว่ามีชีวิต มีชีวิตเพียงสิบห้าปีก็นับว่ามีชีวิต ข้ายอมสละชีวิตเพียงคนเดียว แต่จะไม่ยอมให้ทั้งสกุลกู้รอดชีวิตพร้อมมลทินติดตัวเด็ดขาด”
เด็กสาวเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่นพลางกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ
“อีกอย่างอาการของท่านพ่อไม่อาจรักษาด้วยยาราคาถูกพวกนี้ได้ ทว่าแค่ค่ายาเหล่านี้เรายังไม่มีเลย ร่างกายของท่านพ่อรอยาจากน้ำพักน้ำแรงค่าผ้าปักของข้าไม่ไหวหรอก เงินห้าสิบตำลึงนี้จึงนับว่านำมาแก้ขัดได้พอดิบพอดี”
เถาซื่ออ้าปากค้าง กล่าวสิ่งใดไม่ออกสักคำ นางเพิ่งรู้ว่าตนโง่งมจนมองเรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้ไม่ออกเลยสักนิด
ตอนนั้นเองจู่ๆ ที่กำแพงก็เกิดเสียงดังคล้ายกับก้อนอิฐตกกระทบพื้น กู้เจี้ยนหลีกับเถาซื่อหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงศีรษะหนึ่งผลุบโผล่ออกมาจากกำแพง ที่แท้เป็นจ้าวเอ้อร์วั่งจากบ้านสกุลจ้าวตรงริมถนนกำลังปีนกำแพงขึ้นมา
“ได้ยินว่าตอนนี้บ้านพวกเจ้าไม่มีเงินประทังชีวิตอย่างนั้นหรือ” สายตากะลิ้มกะเหลี่ยของจ้าวเอ้อร์วั่งเลื่อนมองมายังกู้เจี้ยนหลี “นอนกับพี่ชายสักคืนจะให้เจ้าสามร้อยอีแปะสนใจหรือไม่”
“ข้าจะตีพวกขี้เรื้อนสกปรกเช่นเจ้าให้ตาย!” เถาซื่อรีบก้มลงคว้าหินก้อนหนึ่งขึ้นมาเขวี้ยงไปทางจ้าวเอ้อร์วั่งก่อนวิ่งตามไปด่าถึงที่
หินก้อนนั้นเขวี้ยงโดนศีรษะของจ้าวเอ้อร์วั่งเข้าอย่างจัง เขาร้องออกมาคำหนึ่ง ทั้งร่างร่วงลงจากกำแพง พอตั้งหลักได้ก็ออกวิ่ง เขาวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “เปลี่ยนใจเมื่อไรมาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของกู้เจี้ยนหลีเม้มเข้าหากันเล็กน้อย หลังพรูลมหายใจบางเบาออกจนหมดสิ้น รอยยิ้มบางจึงประดับอยู่บนริมฝีปากพร้อมเอ่ยวาจาเสียงเบา “ต่อให้อยู่ที่นี่ต่อก็หาได้มีผลดีอะไร”
หัวใจเถาซื่อหล่นดังตุ้บ ไม่คิดไล่ตามจ้าวเอ้อร์วั่งต่อแล้ว นางหันกลับไปมองกู้เจี้ยนหลี ถึงอีกฝ่ายสวมชุดกระโปรงเนื้อหยาบซอมซ่ออย่างชาวนาชาวไร่แต่กลับไม่อาจลบเลือนความงามผุดผาดไปได้ ในอดีตมารดาของนางงามล่มเมือง ยามนี้นางกับพี่สาวถึงวัยงามเฉิดฉัน คาดไม่ถึงว่าจะงดงามเสียยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิดเสียอีก
งามดุจบุปผาล่มแผ่นดิน
ใบหน้านี้ของนาง…เป็นดั่งหายนะ
ความรู้สึกเย็นยะเยือกแล่นจากปลายเท้ากระจายไปทั่วสรรพางค์กาย เถาซื่อพลันเข้าใจขึ้นมาอย่างเลือนรางแล้ว ไม่ว่าตนเองจะใช้ความดุร้ายถึงเพียงใดมาบดบังไว้ เกรงว่าสุดท้ายก็ยังคงคุ้มครองเด็กผู้นี้ไม่ได้อยู่ดี