ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นปอยผมที่เดิมเกล้าไว้ของนางพลันหลุดลงมาปัดผ่านสันจมูกของนายท่านห้าสกุลจี และตกลงตรงเบ้าตาของอีกฝ่ายพอดิบพอดี
กู้เจี้ยนหลีพลันตื่นตระหนก เผยอปากหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ตอนนี้ค่อยรู้สึกตัวว่าตนเข้าใกล้ใบหน้าของเขามากเกินไป ถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง สองแก้มจึงขึ้นสีแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
นางรีบขยับนั่งตัวตรง จัดผมที่ทำเรื่องน่าอายปอยนั้นให้เข้าทรงก่อนจะลอบเลื่อนสายตากลับไปมองคนบนเตียงอีกครั้ง พอเห็นว่าเขาเพียงนอนนิ่งไม่รับรู้สิ่งใดเช่นเดิมจึงค่อยยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจเบาๆ
ตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้เจี้ยนหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจไม่คลุมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกลับไป เปิดเผยโฉมหน้านั่งรออยู่เช่นนั้น
ผู้มาใหม่เป็นสตรีใบหน้าเปื้อนยิ้มผู้หนึ่ง นางเอ่ยถ้อยคำมงคลอวยพรกู้เจี้ยนหลีเสียหลายประโยคก่อน แล้วจึงค่อยแนะนำตัวว่าเป็นแม่นมของคุณชายหกและคุณหนูสี่ เมื่อครู่กำลังกล่อมคุณหนูสี่เข้านอนจึงมาช้า
กู้เจี้ยนหลีฟังแล้วหรี่ตาลงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง หลินหมัวมัวจึงรีบอธิบายต่อ “บ่าวลืมเรียนให้ฮูหยินทราบเสียได้ คุณชายหกกับคุณหนูสี่เป็นบุตรบุญธรรมของนายท่านห้าเจ้าค่ะ”
หญิงสาวพลันนึกขึ้นได้ทันทีว่านายท่านห้าผู้นี้มีบุตรบุญธรรมฝาแฝดชายหญิงอยู่คู่หนึ่ง ว่าไปแล้วเขายังเคยมีคู่หมั้นอีกด้วย สัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นบิดามารดาเป็นผู้กำหนด ฝ่ายหญิงมาจากสกุลเยี่ย ต่อมาเพราะนายท่านห้าสกุลจีเริ่มฆ่าคนเป็นผักปลา ชื่อเสียงในเมืองหลวงย่ำแย่ลงทุกวัน คุณหนูสกุลเยี่ยจึงต้องการถอนหมั้นมาโดยตลอด สี่ปีก่อนคราวที่นายท่านห้าผู้นี้ออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วถูกพิษจนป่วยเรื้อรัง เขาได้พาเด็กแฝดกลับมาคู่หนึ่ง คุณหนูสกุลเยี่ยยืนกรานเสียงแข็งว่าคนใจดำอำมหิตเช่นเขาไม่มีทางใจดีรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นบุตรบุญธรรม เด็กแฝดคู่นี้เห็นทีจะเป็นบุตรของเขากับหญิงอื่น เผลอๆ อาจเป็นบุตรที่เกิดจากการคบชู้ จะอย่างไรนางก็ไม่ยอมอ่อนข้อจนได้ถอนหมั้นไปในที่สุด จากนั้นร่างกายของนายท่านห้าสกุลจีก็ย่ำแย่ลงทุกวัน นอนติดเตียงจนถึงตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาหาสตรีมาหมั้นหมายตบแต่งอีก
ที่กู้เจี้ยนหลีรู้เรื่องนี้เป็นเพราะในปีนั้นคุณหนูสกุลเยี่ยโวยวายก่อเรื่องเสียใหญ่โต ตัวนางก็ได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากปากสาวใช้ขณะกำลังอิงแอบอยู่กับตักพี่สาวนั่นเอง
“นายท่านห้าชอบอยู่เงียบๆ คนคอยปรนนิบัติในเรือนจึงมีไม่มากนัก ปกติล้วนเป็นฉางเซิงคอยรับใช้ใกล้ชิดนายท่านห้า ทว่ายามนี้ฮูหยินแต่งเข้ามาแล้ว เขาจึงไม่สะดวกเข้าออกเรือนใน ไว้พรุ่งนี้จะให้เขามาคารวะฮูหยินเจ้าคะ”
ใบหน้ากลมๆ ของหลินหมัวมัวผู้นี้แต้มรอยยิ้มอยู่ตลอด ชวนให้รู้สึกมีความสุขตาม สามเดือนมานี้กู้เจี้ยนหลีไม่ได้ยิ้มแย้มบ่อยนัก ซ้ำยังไม่ได้พบเจอใบหน้าเปื้อนยิ้มสักเท่าไร พิศดูใบหน้ายิ้มๆ ชวนมองของอีกฝ่ายมากเข้า ใจนางก็รู้สึกดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ทั้งคิ้วตาตลอดจนริมฝีปากล้วนแต่ทอแววยิ้มแย้มตามหลายส่วน ยามเอ่ยเสียงนุ่มนวลเบาๆ “ต่อไปต้องรบกวนหลินหมัวมัวแล้ว”
หลินหมัวมัวเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทด้วยรอยยิ้มอีกหลายประโยคก่อนกล่าว “เรือนเรามีคนน้อย ฮูหยินโปรดอย่าถือสา”
กู้เจี้ยนหลีเอียงศีรษะมองไปทางนายท่านห้าสกุลจีที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ด้วยกลัวเสียงสนทนาจะดังรบกวนเขา
การกระทำนี้ล้วนอยู่ในสายตาหลินหมัวมัว นางพากู้เจี้ยนหลีเดินมานั่งที่เตียงหลัวฮั่น หลังฉากกั้น แล้วจึงแนะนำเรื่องในเรือนอย่างคร่าวๆ นางกล่าวว่าในเรือนของนายท่านห้าคนน้อย จำนวนคนก็นับว่าน้อยจนกู้เจี้ยนหลีตกใจจริงๆ ทั้งเรือนมีเจ้านายสามคน บ่าวเองก็มีทั้งหมดสามคน นอกจากหลินหมัวมัวซึ่งเป็นแม่นมของนายน้อยทั้งสองกับฉางเซิงซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ใกล้ชิดนายท่านห้าแล้ว มีเพียงสาวใช้อีกคนนามว่าลี่จื่อ สมองนางใช้การได้ไม่ดีนัก แต่ได้อยู่ปรนนิบัติเพราะเป็นน้องสาวของฉางเซิง