บทที่ 5
แม้เรือนของจีอู๋จิ้งจะอยู่ลับตาคน ทว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ซ้ำยังใกล้จะล่วงเข้าเที่ยงวันแล้ว กู้เจี้ยนหลีจึงสงบจิตสงบใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เช่นนั้นอยากคุยอะไรกับข้า”
นางหยิบถ้วยชาสีขาวเกลี้ยงอีกใบขึ้นมา จิบชาคำหนึ่งโดยไม่กระโตกกระตาก หลังจากวางถ้วยชาลงแล้วปลายนิ้วยังแตะค้างก่อนเลื่อนไปมาเล็กน้อยอยู่บนขอบถ้วย
“เฟิ่งเสียนเพียงอยากจะบอกน้าสะใภ้ห้าว่ายามนี้ท่านมิได้อยู่ตัวคนเดียว หากต้องการสิ่งใดท่านมาหาเฟิ่งเสียนได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืน…”
กล่าวมาถึงตอนนี้เสียงของเขาพลันกดต่ำ ในน้ำเสียงแฝงความต่ำช้าที่ไม่อาจคาดเดาอยู่ขุมหนึ่ง
ใบหน้ามักมากเช่นนี้ของจ้าวเฟิ่งเสียนชวนให้กู้เจี้ยนหลีอยากจะอาเจียน ทว่านางทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธก่อนพูดอย่างใจเย็นว่า “จริงอยู่ที่เรือนท่านน้าห้าของเจ้าอยู่ลับตาคนไปหน่อย แต่ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เจ้าจะอยู่กินข้าวด้วยกันหรือ หากเป็นเช่นนี้จะได้บอกห้องครัวสักหน่อย”
เสียงอ่อนหวานของสตรีกระทบโสตประสาททำเอาจ้าวเฟิ่งเสียนอ่อนระทวยไปทั้งตัว ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “น้าสะใภ้ห้าเหตุใดจึงไม่เชื่อว่าเฟิ่งเสียนไม่มีเจตนาร้าย ที่วันนี้เฟิ่งเสียนมาหาก็เพียงเพื่อมาดูว่าท่านใช้ชีวิตอย่างไร เป็นการแสดงความจริงใจเท่านั้น”
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นหน้ามาอีกสองก้าวแล้วเหลือบมองไปที่เตียงคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อเสียงแผ่วเบา “คืนก่อนที่ท่านจะแต่งเข้ามา ท่านน้าห้าไอเป็นเลือด ที่จวนเชิญหมอหลวงจากในวังมาตรวจดู เขาบอกว่าท่านน้าห้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงปีใหม่ เวลานี้ห่างจากปีใหม่เพียงสิบวันเท่านั้น ถึงตอนนั้นคนในจวนจะทำสิ่งใดกับท่านท่านก็คงรู้ดี หากท่านยินยอม ไม่สู้เรามาร่วมมือกันวางแผนแมวดาวสับเปลี่ยนรัชทายาท…”
ถ้อยคำที่เหลือแม้เขาไม่ได้กล่าวต่อกู้เจี้ยนหลีกลับฟังเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายคิดจะใช้บุญคุณช่วยชีวิตกักขังนางไว้ในฐานะอนุนอกเรือน
“น้าสะใภ้ห้า ท่านลองใคร่ครวญให้ดีเถิด…ถึงเวลาอาหารแล้ว เฟิ่งเสียนขอตัวก่อนนะขอรับ” จ้าวเฟิ่งเสียนประเดี๋ยวก้าวประเดี๋ยวหยุดหันกลับมาส่งสายตาหวานเชื่อมราวกับตัดใจไม่ลง ก่อนจะจากไปด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ก้าวออกนอกเรือนทางประตูข้าง เมื่อเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คนค่อยเดินอย่างสง่าผ่าเผยไปที่เส้นทางหลัก ในหัวยังคงเต็มไปด้วยใบหน้างดงามของกู้เจี้ยนหลี ในใจรู้สึกคันยุบยิบจนตัดสินใจไปสำเริงสำราญที่หอคณิกา
แผ่นหลังเหยียดตรงของกู้เจี้ยนหลีที่ยังอยู่ในห้องพลันอ่อนยวบ นางเอนพิงพนักเก้าอี้กุหลาบ อย่างอ่อนแรงพลางเหม่อมองไปยังเศษถ้วยชาที่แตกละเอียดบนพื้น
หากทำลายใบหน้านี้เสีย เรื่องยุ่งยากคงจะไม่มากมายเช่นนี้กระมัง
หรือควรจะเล่าเรื่องที่จ้าวเฟิ่งเสียนมาหาถึงที่เพื่อขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ
ทว่าคนจวนก่วงผิงป๋อเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าอยากให้นางตายๆ ไปเสียเพื่อไม่ให้ลากพวกเขาเดือดร้อนไปด้วย เดิมทีนางอยู่ที่นี่ก็โดดเดี่ยวไร้พรรคไร้พวกอยู่แล้ว
ในขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นกู้เจี้ยนหลีกลับได้ยินเสียงพูดคุยของเด็กแว่วมา
หลินหมัวมัวอุ้มจีซิงหลันไว้ในอ้อมอกโดยมีจีซิงโล่วเดินตามไม่ห่าง หลังจากเข้ามาในห้องนางวางจีซิงหลันลงก่อนกล่าวกับกู้เจี้ยนหลีด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยิน บ่าวพาคุณชายหกกับคุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
จีซิงโล่วผู้เป็นพี่ชายตั้งแต่เข้าห้องมาก็เอาแต่ก้มหน้า ส่วนจีซิงหลันผู้เป็นน้องสาวก็เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังหลินหมัวมัว ท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย
หลินหมัวมัวดันตัวเด็กน้อยที่หลบหลังตนเองออกมาด้านหน้า เอ่ยกับนางเสียงนุ่มว่า “ต่อไปฮูหยินก็เป็นท่านแม่ของพวกท่านแล้ว ลองเรียกดูสิเจ้าคะ”
จีซิงหลันเงยหน้าขึ้นมองกู้เจี้ยนหลีอย่างสงสัยใคร่รู้ ตากลมโตกะพริบปริบๆ ปากเล็กอ้าออกน้อยๆ คล้ายอยากลองเรียกแต่ก็ยังคงลังเล