บทที่ 6
“หนวกหูยิ่งนัก…”
น้ำเสียงของจีอู๋จิ้งเดิมทีก็เย็นชาอยู่แล้ว ยามนี้เพราะไม่ได้พูดมานาน พอรีบร้อนเอ่ยปากเสียงจึงแหบพร่าอย่างน่าสยดสยอง เพียงได้ยินเสียงเขากู้เจี้ยนหลีก็พลันรู้สึกคล้ายถูกอสรพิษตัวเย็นเฉียบเลื้อยผ่านกระดูกสันหลัง
เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผากจ้าวเฟิ่งเสียนก่อนหยดลงบนพื้น สองตาเบิกโตด้วยท่าทางราวกับเห็นผี เขานั่งนิ่งอยู่กับพื้นเช่นนั้น ทว่าลำคอกลับยื่นมาข้างหน้าอย่างเครียดเกร็ง
“ท่าน…ท่านน้าห้า…”
“ชู่…” จีอู๋จิ้งค่อยๆ ยกมือขึ้น จรดนิ้วชี้ลงบนริมฝีปาก ในห้องมีเพียงแสงจากตะเกียงดวงเดียว เมื่อไม่มีแสงสว่างมากนัก สีหน้าของเขาจึงยิ่งดูขาวซีดขึ้นไปอีก
จ้าวเฟิ่งเสียนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหอบหายใจ
กู้เจี้ยนหลีที่อยู่ด้านข้างหันมองจีอู๋จิ้ง ปิดปากเงียบกริบตามไปอีกคนโดยไม่รู้ตัว
จีอู๋จิ้งลดมือลงก่อนหยัดฝ่ามือไว้กับเตียง จากนั้นค่อยๆ ดันตนเองลุกอย่างเชื่องช้า ขยับขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง มือทั้งสองวางไว้บนหน้าตักอย่างสบายๆ บุรุษผู้นี้แขนขายาว ชุดนอนสีขาวราวหิมะบนร่างสวมไว้อย่างหมิ่นเหม่ คอเสื้อมิได้ทาบปิดสนิท ทำให้แผงอกโผล่พ้นออกมาให้เห็น
เพราะหลับไปนาน มือเท้าใช้การได้ไม่คล่องแคล่ว การกระทำหลายอย่างของจีอู๋จิ้งจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ในสายตากู้เจี้ยนหลีแล้วยาวนานราวกับปล่อยเวลาผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ ด้วยซ้ำ นางอดไม่ได้ที่จะขยับถอยหลังไปจนหลังติดเสาเตียง ไม่มีทางให้ถอยต่ออีก ในดวงตาคู่งามยามมองจีอู๋จิ้งทั้งฉายแววตกใจระคนโล่งใจ ทั้งฉายแววหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก
จีอู๋จิ้งเหลือบมองจ้าวเฟิ่งเสียน เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้ม ไฝใต้ตาเม็ดนั้นก็คล้ายจะขยับขึ้นตาม
เขากำลังแย้มยิ้ม ทว่าจ้าวเฟิ่งเสียนกลับเหน็บหนาวซึมลึกถึงกระดูก
“พูดสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่อีกสักรอบซิ”
จ้าวเฟิ่งเสียนตะเกียกตะกายเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียง มือทั้งสองคว้าขอบเตียงไว้มั่น “ท่านน้าห้าข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ! เมื่อครู่เป็นเฟิ่งเสียนเมาสุราจนพูดจาเหลวไหลเอง!”
จีอู๋จิ้งเพียงมองอีกฝ่ายคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ปราศจากแววโมโหโกรธา
ยิ่งเป็นเช่นนี้จ้าวเฟิ่งเสียนยิ่งหวาดกลัวจนหัวหด เขาเงยหน้ามองจีอู๋จิ้ง ทั้งร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ สักพักใหญ่จึงค่อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ยามนี้ลมหนาวปลายเดือนสิบสองพลันโชยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ พัดผ่านแผ่นหลังชุ่มเหงื่อของจ้าวเฟิ่งเสียนพอดี ชวนให้รู้สึกราวกับตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ
“พูด” จีอู๋จิ้งกล่าวย้ำเป็นครั้งที่สองอย่างเกียจคร้าน
“ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อ…ต่อให้…” จ้าวเฟิ่งเสียนกล้ำกลืนฝืนกล่าวคำพูดก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง ทว่ากล่าวได้เพียงครึ่งเดียวก็ตัวสั่นสะท้านไม่กล้ากล่าวต่อแล้ว
“พูดต่อ” จีอู๋จิ้งเหลือบมองคราหนึ่ง น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาไร้ความรู้สึก
“ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อให้ข้าถอดกางเกงถ่ายเบารดหน้าเขาสักยกเขาก็…” จ้าวเฟิ่งเสียนใช้ความกล้าทั้งหมดกล่าวถ้อยคำเมื่อครู่ ก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะทั้งน้ำตา หน้าผากโขกลงพื้นเสียงดังตึงตัง
“ท่านน้าห้าไว้ชีวิตเฟิ่งเสียนด้วย ต่อไปเฟิ่งเสียนไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
มือทั้งสองบนตักจีอู๋จิ้งเลื่อนกลับไปยันเตียงไว้อีกครั้ง ก่อนจะโน้มกายท่อนบนมาด้านหน้าอย่างเชื่องช้าพลางกล่าว “ขาดไปคำหนึ่ง”
“อะ…อะไรนะ”
จ้าวเฟิ่งเสียนเงยหน้ามองจีอู๋จิ้งทั้งน้ำมูกน้ำตาอย่างทึ่มทื่อ ไม่เข้าใจว่าอะไรคือขาดไปคำหนึ่ง ทว่าด้วยสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดเช่นนี้ สมองเขาจึงตื่นตัวเกินกว่าปกติ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ประมวลผลได้เร็วที่สุดในชีวิต