ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 16 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สิบหก

คืนวันที่สิบห้าเดือนอ้ายเป็นวันเทศกาลหยวนเซียว

เทศกาลโคมไฟนี้จัดขึ้นบนถนนตงต้าปีละครั้ง โคมไฟงดงามหลากหลายแบบจะถูกแขวนไว้เต็มทั้งถนนสายยาว

หลงเอ้อร์รับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปกินอาหารที่หอเซียนเว่ยตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด

จวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องในใจเต็มไปหมด นางคิดหาโอกาสบอกท่านหลงเอ้อร์ว่านางไม่อยากแต่งงานแล้ว ทว่าก็รู้สึกผิดต่อเขามาก แต่หากแต่งงานไปอาจยิ่งผิดมากขึ้นไปอีกก็ได้ จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี

ในใจนางยังคงสับสน คิดถึงเมื่อตอนล้มเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อในอดีต นางยังไม่ลังเลใจเหมือนตอนนี้เลย เป็นเพราะในอดีตนางไม่รู้สึกกลัวสิ่งใด หรือตอนนี้นางไม่มีความอดทนพอ เห็นแก่ตัว และอ่อนแออย่างนั้นหรือ

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก นางเกลียดตนเอง เกลียดตนเองเหลือเกิน

หลงเอ้อร์มองนางไม่วางตา เทียบกับครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาอ่านท่าทีของนางได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เป็นวันฉลองตรุษจีน เขากำลังมีงานยุ่งยากมากมาย กอปรกับเรื่องสืบหาพวกโจรยังไม่ได้เบาะแสใดๆ กลับมา ช่างน่าปวดหัวนัก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้นางอยู่ว่างไปครึ่งเดือน

แต่เขาหลงเอ้อร์ไม่ใช่เฉินเหลียงเจ๋อคนนั้น และไม่ใช่อวิ๋นชิงเสียนด้วย ระหว่างเขากับนางใช่ว่านางบอกว่าไม่แล้วทุกอย่างก็จะจบลง

หลงเอ้อร์ตั้งใจเลือกห้องส่วนตัวบนชั้นสองที่ติดกับถนน และจัดที่ให้จวีมู่เอ๋อร์นั่งพิงราวระเบียงห้อง ห้องส่วนตัวนี้กับโถงด้านนอกห่างกันพอสมควร ยังมีม่านมุกกั้นไว้อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาคุยกัน คนด้านนอกจะไม่ได้ยิน แต่สามารถเห็นความเคลื่อนไหวของพวกเขาสองคนได้

เมื่อคนบนถนนเงยหน้าขึ้นจะสามารถเห็นพวกเขาได้ และคนที่มานั่งกินอาหารบนชั้นสองก็เห็นพวกเขาได้เช่นกัน หลงเอ้อร์ไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น ส่วนจวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น เขาคิดว่านางเองยิ่งไม่ต้องไปสนใจ

อาหารที่หลงเอ้อร์สั่งมากินง่าย ไม่มีกระดูก ไม่มีก้าง หลงเอ้อร์ช่วยจัดวางจานอาหารให้นาง บอกนางว่ามีอะไรบ้าง จวีมู่เอ๋อร์นั่งกินเงียบๆ พลางคิดว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี

รอจนกินไปได้พอสมควร หลงเอ้อร์จึงถามว่า “ถูกปากหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ในสมองยังคงคิดว่าจะพูดเรื่องยกเลิกการแต่งงานอย่างไร

“งานเลี้ยงแต่งงาน ข้าจะเชิญพ่อครัวใหญ่หลายคนในหอนี้ไปช่วยที่คฤหาสน์เพราะพวกพ่อครัวที่นั่นคงเตรียมการไม่ทัน” บังเอิญเหลือเกินที่หลงเอ้อร์ยกหัวข้อสนทนามาถูกเรื่องพอดี

จวีมู่เอ๋อร์ตกตะลึง แต่ก็พยักหน้ารับรู้ นางกัดฟันแน่นก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “ท่านหลงเอ้อร์ งานแต่งงานของพวกเรา…”

“ทำไมหรือ” หลงเอ้อร์ตัดบทคำพูดของนาง

“ข้าคิดว่า…”

“คิดว่าอะไร”

“เป็นไปได้หรือไม่…”

“หืม?”

จวีมู่เอ๋อร์ปิดปาก นางรู้ เห็นได้ชัดว่าท่านหลงเอ้อร์เองก็รู้ว่านางอยากพูดอะไร แต่เขาไม่อยากฟัง

จวีมู่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้าอีกครั้ง ขณะกำลังจะพูดซ้ำอีกรอบ กลับได้ยินเสียงเขาร้องเบาๆ “อ๊ะ ไม้เท้าของเจ้าตกลงไปแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง เบิกตาโต นางได้ยินเสียงดังตุบที่นอกหน้าต่างชั้นล่าง พอยื่นมือไปคลำข้างโต๊ะ ไม้เท้าของนางก็หายไปเสียแล้ว นางวางเอาไว้อย่างดีนี่นา มันตกลงไปได้อย่างไรกัน

“โชคดีที่ไม่โดนใคร” เสียงของหลงเอ้อร์ฟังไปแล้วดูมีความสุขมาก “ต้องโทษที่ข้าไม่ระวังไปเตะโดนเข้าพอดี”

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ นิสัยเด็กๆ ของเขากำเริบอีกแล้ว แต่การที่เขาพาลเช่นนี้ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“กินให้มากหน่อย” หลงเอ้อร์คีบกับข้าวให้นาง “เดิมทีเจ้าก็ผอมแห้งอยู่แล้ว พอป่วยครั้งนี้ยิ่งเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก รีบเพิ่มเนื้อขึ้นบ้าง ไม่เช่นนั้นเวลาข้ากอด กระดูกเจ้าคงจะทิ่มตัวข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดก็หน้าแดงเรื่อ ท่าทางนั้นทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะเบาๆ

เขาหัวเราะจนนางรู้สึกหวาดกลัว จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นเพื่อพูดเรื่องยกเลิกการแต่งงาน

“ท่านหลงเอ้อร์ ท่านชอบข้าหรือไม่”

หลงเอ้อร์คีบกับข้าวให้นางจนพูนถ้วย “เจ้ากินข้าวในถ้วยให้หมด แล้วข้าค่อยบอกเจ้า”

เขาจงใจแกล้งนางหรือ

จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก คีบกับข้าวเข้าปากหนึ่งคำแล้วถามอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านชอบข้าหรือไม่”

“เรื่องนี้ต้องดูว่าเทียบกับใคร” หลงเอ้อร์พูดอย่างมีหลักการ “หากเทียบความรักชอบของเจ้าสามที่มีต่อเฟิ่งเฟิ่ง หรือของพี่ใหญ่ที่มีต่อพี่สะใภ้ใหญ่ เกรงว่าข้าคงเทียบไม่ได้ แต่หากเปรียบเทียบกับแม่นางติง แม่นางเฉิน แม่นางหลิวแล้ว เช่นนั้นข้าก็ชอบเจ้ามากที่สุด”

จวีมู่เอ๋อร์ปิดปาก ไม่รู้ว่าในตอนนี้ควรพูดอะไรต่อดี เดิมทีนางคิดว่าเขาจะบอกว่าไม่ค่อยชอบเท่าใด เช่นนั้นนางก็สามารถพูดต่อไปได้ แต่เขากลับตอบลื่นไหลเช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้พูดคำหวานหลอกลวงนาง แต่ก็ไม่ได้ให้โอกาสนางพูดอะไรได้เช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ กำลังคิดจะถอยทัพถอนกำลังพล แล้วค่อยหาโอกาสทำศึกอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตามติดโจมตีสวนกลับ

หลงเอ้อร์เอ่ยถามว่า “มู่เอ๋อร์ เจ้าชอบข้าหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์แทบจะกัดลิ้นตัวเอง นางยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดขึ้นอีก “เจ้าต้องชอบข้าแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะยกเลิกงานมงคลกับเฉินเหลียงเจ๋อไปทำไม ทั้งยังปฏิเสธอวิ๋นชิงเสียนอีก สุดท้ายยังมาเอ่ยปากขอข้าแต่งงานด้วยตัวเอง นี่ต้องเป็นเพราะเจ้าชอบข้าแน่นอน ใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างจนใจ “ท่านหลงเอ้อร์ ถนนด้านนอกฟังดูคึกคักมาก เทศกาลโคมไฟใกล้เริ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าลองพูดมาสิว่าเจ้าชอบข้าอย่างไร ทำให้ข้ามีความสุขสักนิด”

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ นางเริ่มแต่งเรื่อง “ท่านหลงเอ้อร์รูปโฉมงามสง่า…”

“เจ้ามองไม่เห็นไม่ใช่หรือ”

“เสียงของท่านเพราะมาก”

“ข้อนี้ฟังดูไม่เลว” หลงเอ้อร์ชมนางพอเป็นพิธี

“ท่านดูองอาจ แตกต่างจากคนทั่วไป”

“เจ้ารู้สึกได้หรือ” คำพูดนางฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก

“มือของท่านอบอุ่นมาก”

หลงเอ้อร์ยิ้มอย่างพอใจ ยื่นมือไปกุมมือของนางไว้ จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแล้วดึงมือกลับอย่างกระเง้ากระงอด มีอย่างที่ไหนกัน แอบแกล้งนางแล้วยังมาทำดีต่อนางอีก

พอนางดึงมือกลับ หลงเอ้อร์ก็ไม่พอใจ น้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้น “ยื่นมือมา”

จวีมู่เอ๋อร์วางมือไว้บนหัวเข่า กัดฟันแล้วกลั้นใจพูดออกมา “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอย่าแต่งกับข้าไม่ดีกว่าหรือ”

“ไม่ดี” หลงเอ้อร์ตอบกลับทันควันอย่างชัดถ้อยชัดคำ จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ก้มหน้าลงบิดนิ้วมือ “ทำไมต้องไม่แต่งด้วย” น้ำเสียงของหลงเอ้อร์ฟังดูดุมาก

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าพูดจา

“เจ้าไม่อยากแต่งงานแล้วหรือ”

นางไม่กล้าพยักหน้า

“เจ้ากำลังคิดอะไรกันแน่”

นางไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงก้มหน้าบิดนิ้วมือต่อไป

หลงเอ้อร์เห็นด้านล่างมีกลุ่มคนหนาตาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดทันใดว่า “ไปกันเถอะ ไปดูเทศกาลโคมไฟ”

จวีมู่เอ๋อร์กลัดกลุ้มใจ ตอบรับหนึ่งคำ แล้วยื่นมือไปคลำหาไม้เท้าของนาง เมื่อไม่เจอจึงนึกขึ้นได้ว่าไม้เท้าถูกเขาทำหล่นหายไปเสียแล้ว “ท่านหลงเอ้อร์ ไม้เท้าของข้า…”

“อ๋อ ตกลงไปด้านล่างแล้ว” หลงเอ้อร์ไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นางรู้แล้วว่าตกลงไปด้านล่าง แต่เขาเป็นคนทำก็ควรเป็นคนไปเก็บกลับมาไม่ใช่หรือ

หลงเอ้อร์เหมือนจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขาดึงมือนางมาอย่างไร้ความอ่อนหวาน จูงมือนางเดินไปด้านนอก “ไม้เท้าผุๆ นั่นไม่รู้ว่าถูกใครเก็บไปแล้ว ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะเดินอย่างไร”

“ตอนนี้เจ้าเดินอย่างไรล่ะ” หลงเอ้อร์ดึงมือของนางอย่างอุกอาจ เดินนำนางลงบันไดท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลาย เดินผ่านโถงชั้นหน้าออกจากประตูใหญ่ของหอเซียนเว่ยไป

ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลง แต่ละบ้านที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้วก็พากันออกมาเดินเล่นซื้อของอย่างสนุกสนานบนท้องถนนเพื่อรอดูโคมไฟ

กิจกรรมที่มีคนแออัดเบียดเสียดเช่นนี้ จวีมู่เอ๋อร์ไม่ค่อยชอบนัก หลังจากนางตาบอดจึงไม่เคยไปร่วมงานคึกคักเช่นนี้อีกเลย แต่ท่านหลงเอ้อร์กลับพานางมาในที่ที่มีคนมากมายเช่นนี้ ทำให้นางถูกเหยียบเท้าไปหลายที ถูกชนไปหลายครั้ง เป็นความทุกข์ใจที่พูดออกมาไม่ได้

นางรู้ว่าทำให้เขาโกรธแล้ว แต่นางอยากยกเลิกการแต่งงานจริงๆ การที่เขาดีต่อนางเช่นนี้ นางควรทำอย่างไร จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังคิดใจลอย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าผากขึ้นมาทันใด นางถูกเขาเอานิ้วจิ้มเข้าไปหนึ่งที “เวลาเดินยังใจลอยได้หรือ”

“ข้าไม่ได้ใจลอย”

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มาถึงที่ใดแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งงัน นางจำไม่ได้เลย

“เจ้าชอบนับก้าวเพื่อจำทางที่สุดไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเดินไปถึงที่ใดเจ้าก็รู้หรือ”

เมื่อก่อนนางเป็นเช่นนั้นจริงเพราะนางกลัวหลงทาง กลัวอันตราย ดังนั้นนางจึงมักพยายามจำไว้ตลอด แต่ตอนนี้เขาจูงมือนางอยู่ เขาพานางเดิน นางถึงได้ลืมไปว่าต้องจำทาง

หลงเอ้อร์พานางมาที่ข้างถนน ดึงมือของนางไปลูบโคมไฟสีสดที่แขวนอยู่บนไม้ไผ่ จวีมู่เอ๋อร์ได้กลิ่นร้านแป้งหอมที่อยู่ด้านข้าง…ที่นี่คือถนนตงต้า

กลิ่นนี้คือกลิ่นของร้านแป้งหอมตรงปากทางถนนตงต้า

“ถนนตงต้า” หลงเอ้อร์หัวเราะ พานางเดินไปลูบโคมไฟดวงถัดไป แล้วบอกนางว่า “รอให้สิ้นเดือนอ้าย ถนนสายนี้ก็จะเริ่มทำกันสาดแล้ว ต่อไปตรงจุดที่เจ้ายืนอยู่ ด้านบนก็จะมีกระเบื้องกันสาด”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งอึ้ง ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นทันใด

หลงเอ้อร์พูดต่ออีกว่า “ฉิงเอ๋อร์ที่เจ้ารัก ตอนมาขายดอกไม้ที่นี่ก็ไม่ต้องตากแดดโดนน้ำฝนแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ นางเอ่ยตอบ “ดีใจ”

“ตอนที่เจ้ามาหาข้าแล้วยื่นเงื่อนไขนี้ เคยคิดหรือไม่ว่าข้าจะปฏิเสธ”

“ตอนนั้นข้าหน้ามืดตามัว ท่านหมอบอกว่าฉิงเอ๋อร์อาจตายได้ ด้วยความหุนหันข้าจึงไปหาท่าน”

“หึ เจ้าเป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นกัน ข้าไม่ตอบตกลง เจ้าก็หาข้ออ้างมาสาดน้ำชาใส่ข้า” หลงเอ้อร์ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์คลึงหน้าผาก พูดอย่างเศร้าสลดว่า “เรื่องนี้ท่านได้แก้แค้นไปแล้วไม่ใช่หรือ”

“ข้าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าตอบว่า ‘ใช่’ นางถูกเขาจูงมือเดินต่อไปข้างหน้า

หลงเอ้อร์เดินไป จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “มู่เอ๋อร์ รอให้เจ้าแต่งเข้าบ้านแล้ว ญาติของเจ้าก็เป็นญาติของข้า ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี เมื่อบนถนนสายนี้สร้างกันสาดแล้ว การค้าขายของฉิงเอ๋อร์ก็คงดีขึ้นบ้าง หากนางไม่ยินดีจะขายดอกไม้แล้ว ข้าสามารถจัดหางานอื่นให้นางได้”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “นางดื้อรั้นมาก หากช่วยออกนอกหน้าเกินไปนางจะไม่พอใจ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอย่างไม่ได้สนใจนัก อย่างไรเสียประเด็นสำคัญก็ไม่ใช่ซูฉิง เขาดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้หยุดยืนนิ่ง แล้วพูดว่า “แต่หากเจ้าไม่แต่งเข้ามา ข้าจะทำให้นางขายไม่ได้แม้แต่ดอกไม้”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งด้วยความตกใจ หลงเอ้อร์กุมใบหน้านางไว้ “เจ้ามาขอแต่งงานกับข้า ข้าก็รับปากแล้ว ดังนั้นหากเจ้าคิดถอยกลับก็ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดี คนที่บังคับให้แต่งงานเป็น ไม่ได้มีเพียงแค่ติงเหยียนเซียงเท่านั้น”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา ใบหน้าย่นยู่ขึ้นมา

หลงเอ้อร์พูดขู่นาง “เจ้ากลัวหรือไม่”

“กลัว” น้ำเสียงนั้นดูเศร้าสลด

เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตไปที่ติ่งหูของนาง “เจ้าลังเลอะไรอยู่กันแน่”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก

“คำพูดส่งเดชของพวกชาวเมืองเหล่านั้นทำให้เจ้าไม่สบายใจหรือ”

นางส่ายหน้าอีก

“เจ้ากลัวอะไร ติงเหยียนซานยังไม่ได้แต่งงานทำให้ผู้คนลือกันไปจนไม่น่าฟัง แต่เจ้ามีคนที่จะแต่งด้วยแล้ว ยังสนใจอะไรกับคำพูดของคนเหล่านั้นอีก”

จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตา เอ่ยปากบ่น “อย่าพูดถึงแม่นางติงเช่นนี้”

“นางไม่ได้เป็นอะไรกับข้า ข้าไม่สนใจนางหรอก” หลงเอ้อร์ใช้นิ้วขยี้หัวจวีมู่เอ๋อร์เล่น “ข้าสนใจแต่คนของข้าเท่านั้น”

ใช่สิ ท่านหลงเอ้อร์ใจแคบและคอยปกป้องคนของตนเสมอ เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเสียใจอีกครั้ง นางจับเสื้อของเขาไว้แน่น ขณะที่พยายามคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีวิธีดีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้เจ้าขจัดความลังเลใจได้”

จวีมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น “วิธีอะไร”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือที่ใด”

“ถนนตงต้า”

“วันนี้คือวันอะไร”

“วันที่สิบห้าเดือนอ้าย”

“ดังนั้นวันนี้คนบนถนนจึงมีจำนวนมากใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า คนมากแล้วเป็นอย่างไร เขาคิดจะบอกว่าหากนางไม่เชื่อฟังก็จะทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางฝูงชน ให้นางถูกเบียดจนตายหรือ

จวีมู่เอ๋อร์กำลังคิดฟุ้งซ่าน ทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็ถูกประทับจุมพิตแนบแน่น

นี่ไม่ใช่การสัมผัสเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เพราะหลงเอ้อร์เป็นคนชอบทำอะไรด้วยความจริงจัง ดังนั้นจุมพิตนี้จึงทั้งร้อนแรงและลึกซึ้ง

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงตกตะลึง นางถูกเขาจับหลังหัวเอาไว้ จากนั้นจุมพิตก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงคนรอบข้างสูดลมหายใจด้วยความตกใจ ยังมีคนร้องโอ้ๆ อ้าๆ อีกด้วย

นางเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าจึงแดงก่ำในทันใด ทั้งรู้สึกว่าตัวเองถูกเขากอดไว้แน่น และรู้สึกถึงริมฝีปากและลิ้นของเขา

จุมพิตนี้ทำให้นางร้อนวูบไปทั้งตัว

เสียงรอบข้างอึกทึก แม้จวีมู่เอ๋อร์จะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงแววตาที่คนรอบข้างมองมา นางรู้สึกว่าในหูมีเสียงวิ้งดังขึ้น บนใบหน้าร้อนจนเลือดแทบหยดออกมา แต่ท่านหลงเอ้อร์กอดนางไว้แน่นเช่นนี้ นางไม่อาจและไม่กล้าผลักเขาออก

‘วันนี้คนบนถนนจึงมีจำนวนมาก’ นางเข้าใจความหมายของเขาแล้ว

ในตอนนี้หากให้นางขัดขืนและตบหน้าเขาต่อหน้าธารกำนัล นางทำไม่ได้ นางคิดว่าเขาคงมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้จึงได้กล้าทำแบบนี้ จวีมู่เอ๋อร์อิงแอบเข้าไปในอ้อมกอดของเขา จับคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น

หากจะบอกปัดการแต่งงาน ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้ศักดิ์ศรีของเขาเป็นสิ่งตอบแทน นางทำไม่ได้จริงๆ

ที่แท้นางห่วงใยเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ จวีมู่เอ๋อร์นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาในทันใด

หลงเอ้อร์ปล่อยตัวนาง เขาก้มลงมองดูริมฝีปากที่ถูกจุมพิตจนชุ่มชื้นของนางก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะลงไป

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงจับคอเสื้อของเขาไว้แน่น และเหมือนกุมหัวใจของเขาเอาไว้แน่นเช่นกัน หลงเอ้อร์วางมือไปบนแผ่นหลังของนาง แล้วพูดขึ้นว่า “วันที่สิบแปดเดือนอ้าย ข้าจะใช้เกี้ยวสิบแปดคัน ไปรับเจ้ามาแต่งเข้าบ้าน”

จวีมู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขาแล้วหลับตาลง น้ำตาไหลซึมผ่านเสื้อถูกแผ่นอกของเขา

หลงเอ้อร์หัวเราะ กระซิบข้างหูนาง “อย่าคิดฟุ้งซ่านอีกเลย ทำใจให้สบายรอเป็นสะใภ้สกุลหลงของข้าดีกว่าหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางพยักหน้าอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างงุนงง นางไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกนางสองคนเดินเที่ยวต่ออีกนานเท่าใด นางจำได้เพียงว่าไม่มีไม้เท้า และท่านหลงเอ้อร์เป็นคนจูงมือนางตลอดเวลา ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ทำให้นางต้องแอบอิงแนบชิดตัวเขาจนรู้สึกเหมือนว่าบนถนนนี้เหลือเพียงพวกนางสองคน

นางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าโคมไฟที่แขวนตลอดถนนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่หากท่านหลงเอ้อร์เห็นอะไรน่าสนใจก็จะเล่าให้นางฟัง ให้นางได้ลูบดู เขายังพานางไปทายปริศนาบนโคมไฟอีกด้วย นางได้ยินเสียงคึกคักรอบข้าง ทุกคนต่างแย่งกันทายปริศนาไปมา บางข้อน่าสนุกจนทำให้หัวเราะออกมา นางไม่เคยชอบงานอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ แต่วันนี้นางได้มายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ได้ยืนอยู่ข้างกายเขา นางกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

น่าประหลาดจริง คนที่หลายวันก่อนเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจคนนั้นคือนางหรอกหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าบริเวณที่ทายปริศนาโคมไฟนั้นเฉินเหลียงเจ๋อมองเห็นนางจากที่ไกล และนางก็ไม่รู้อีกว่าท่ามกลางฝูงชนนั้นนางได้เดินเบียดไหล่กับอวิ๋นชิงเสียน นางรู้เพียงว่าไม่ว่าผู้คนข้างกายจะเบียดเสียดเข้ามาเพียงใด ท่านหลงเอ้อร์ก็ยังคงจับมือนางไว้ตลอด กุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือนาง

บนถนนนั้นมีกระทั่งคนนำโคมไฟมามอบให้พวกนาง บอกว่าเป็นการอวยพรให้นางกับท่านหลงเอ้อร์อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า เขารับเอาไว้แล้วมอบให้นางถือ จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงเรื่อ แต่ก็อดที่จะยิ้มตลอดเวลาไม่ได้เช่นกัน

นางแต่งงานกับเขาก็แล้วกัน

นางควรเชื่อความรู้สึกแรกของตัวเอง 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com