ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่สิบเจ็ด
วันที่สิบแปดเดือนอ้ายเหมาะแก่การแต่งงาน จัดพิธี และรับคนเข้าบ้าน
ทุกคนในคฤหาสน์สกุลหลงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริง ผ้าต่วนแดงปูยาวตั้งแต่ประตูใหญ่ไปจนถึงหน้าถนน
แม้ตอนนี้ยังไม่ถึงฤกษ์ดี แต่ก็มีแขกเหรื่อมามอบของขวัญอวยพรให้เป็นตั้งๆ แล้ว และหลงเอ้อร์ผู้เป็นเจ้าบ่าวก็รับเอาไว้โดยไม่เกรงใจ ใบจดรายการของขวัญอวยพรยาวเป็นพับๆ เหล่าแขกเหรื่อบางคนยังดึงตัวบ่าวที่คอยดูแลงานในคฤหาสน์สกุลหลงมาสอบถามว่าสกุลอื่นมอบของขวัญอวยพรอะไรบ้าง เนื่องจากกลัวว่าของที่ตัวเองมอบให้จะไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่พอใจได้ ซ้ำยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่เมื่อมาถึงก็มาขออภัยหลงเอ้อร์ บอกว่าเพราะวันมงคลเลื่อนเร็วขึ้น ของขวัญที่เดิมจัดเตรียมไว้จึงยังไม่พร้อมสรรพ ตอนนี้ขอมอบของเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีก่อน รออีกสามสี่วันค่อยส่งของขวัญมาชดเชยอีกหลายชิ้น หลงเอ้อร์ยิ้มรับของไว้ทั้งหมดด้วยความยินดี ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
แท้จริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่ในใจยังคำนวณเอาไว้อย่างดีแล้วว่าการเลื่อนกำหนดงานมงคลเพื่อจวีมู่เอ๋อร์นั้นทำให้เขาเสียหายไปเท่าใด ทุกอย่างล้วนถูกคำนวณเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว
เมื่อได้รับของขวัญอวยพรมากมาย หลงเอ้อร์จึงอารมณ์ดีมาก ครั้นเวลามงคลใกล้มาถึง เขาก็ขี่ม้าตัวใหญ่คลุมด้วยผ้าต่วนสีแดง นำเกี้ยวไปรับตัวเจ้าสาว ตลอดทางเขาคิดคำนวณเศษเล็กเศษน้อยอย่างรอบคอบ ส่วนที่เขาเสียไปจะต้องเรียกกลับคืนมาจากตัวภรรยาของเขาแน่นอน
รอนางแต่งเข้าบ้าน หึๆ เขาคิดทำกับนางอย่างไรก็ได้ เขาจะได้เห็นหน้านางทุกวัน ให้นางคอยทำให้เขาเบิกบานใจทุกวัน หากทำได้ไม่ดี เขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะจัดการกับนางได้
อืม เรื่องจัดการกับนาง วันนี้เขาสามารถเริ่มทำได้เลย
หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกยินดี เขายิ้มจนมุมปากแทบฉีกไปถึงใบหู
ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาว มีผ้าคลุมหน้าสีแดง นั่งอยู่ขอบเตียงด้วยความตื่นเต้น รอสามีที่มีฝ่ามืออบอุ่นผู้นั้นมารับนางเข้าบ้าน
นางจะพยายามเป็นภรรยาที่ดีของเขา เชื่อฟังเขาทุกอย่าง ทำให้เขาเบิกบานใจ นางยังคิดว่าจะบอกความลับของนางให้เขาฟังอีกด้วย แต่คืนนี้คงไม่ใช่โอกาสเหมาะเท่าใดนัก
เมื่อคิดถึงคืนแต่งงานคืนแรก คิดถึงหญิงชราและสะใภ้ข้างบ้านเหล่านั้นที่พูดถึงเรื่องสามีภรรยาให้นางฟัง จวีมู่เอ๋อร์ก็บิดนิ้วมือด้วยความตื่นเต้น
นอกประตูมีเสียงหัวเราะคิกคักรื่นเริง ยังมีเสียงพูดแสดงความยินดีอีกมากมาย เหล่าหญิงสาวและหญิงชราต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “มาแล้วหรือ มากันแล้วหรือ”
ซูฉิงวิ่งเข้ามาจากทางด้านนอก ตะโกนเสียงดังว่า “พี่มู่เอ๋อร์ๆ ท่านหลงเอ้อร์มาแล้ว เจ้าบ่าวมาแล้ว ได้เวลาขึ้นเกี้ยวแล้ว”
หัวใจของจวีมู่เอ๋อร์เต้นโครมคราม ซูฉิงเข้ามาประคองนาง เพื่อนบ้านผู้หญิงหลายคนก็รีบเข้ามาช่วยเช่นกัน คนทั้งหมดรุมล้อมพาจวีมู่เอ๋อร์เดินออกไปทางประตูใหญ่ร้านเหล้าสกุลจวี นอกประตูเต็มไปด้วยบรรยากาศของความยินดี เสียงแห่งความเบิกบานดังอึกทึก เสียงอวยพรก็มีไม่ขาดสาย
จวีมู่เอ๋อร์กำลังรู้สึกมึนงง ผู้เฒ่าจวีก็จับมือของบุตรสาวไว้ แล้วพูดทั้งน้ำมูกน้ำตา “ลูกเอ๋ย ลูกเอ๋ย…”
จวีมู่เอ๋อร์อยากยิ้ม อยากปลอบใจพ่อของตน แต่พบว่าตัวเองตื่นเต้นเสียจนพูดอะไรไม่ออก ในตอนนี้เองมีมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งกุมมือนางเอาไว้ ความอบอุ่นนั้นทำให้ใจของจวีมู่เอ๋อร์สงบลงได้ นางหันไปทางผู้เฒ่าจวี พูดปลอบใจผู้เป็นพ่อหลายคำ ผู้เฒ่าจวีดึงตัวบุตรสาวไว้ ทั้งร้องไห้ทั้งดีใจ
สุดท้ายแม่สื่อที่อยู่ด้านข้างพูดเร่งขึ้นว่าได้เวลาสมควรแล้ว ผู้เฒ่าจวีจึงปล่อยมือ หลงเอ้อร์จูงจวีมู่เอ๋อร์ส่งตัวนางขึ้นไปบนเกี้ยว ร่างใหญ่เบียดเข้าไปในเกี้ยวครึ่งตัว ฉวยโอกาสที่เกี้ยวบังสายตาของทุกคนเอาไว้ แอบเปิดผ้าคลุมหน้าจวีมู่เอ๋อร์ขึ้น จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ให้ข้าดูเจ้าสักนิด ดูสิว่าถึงที่สุดแล้วยังคิดทำอะไรแผลงๆ เช่นเปลี่ยนตัวคนมาแกล้งข้าหรือไม่”
“ข้าไม่ใช่คนไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร” เขายังกลัวนางหาตัวปลอมมาสวมรอยอีกหรือ จวีมู่เอ๋อร์ทั้งโมโหและรู้สึกขำ “เป็นข้าจริงๆ หากเป็นตัวปลอมรับเปลี่ยนคืน”
หลงเอ้อร์หัวเราะ รู้สึกอารมณ์ดีมาก เขาโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากของนางแล้วกระซิบว่า “ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”
ผ้าคลุมหน้าปิดลง เขาปล่อยมือของนาง จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงแม่สื่อพูดคำมงคล แล้วตะโกนให้ยกเกี้ยว
เกี้ยวถูกยกขึ้น จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างในโอนเอนไปมา นางจับเกี้ยวจนนั่งได้มั่น กัดริมฝีปาก ใบหน้าแดงเรื่อ
นางคิดถึงคำที่เขาพูดว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว’ ก็อยากหัวเราะ นางยังไม่ยอมแพ้ นางไม่กลัวเขาหรอก
เกี้ยวโยกไปมา จวีมู่เอ๋อร์หวนคิดไปถึงตอนที่นางกับเขาเพิ่งรู้จักกันจนถึงปัจจุบัน ครั้งแรกที่เห็นความโอหังของเขา นางอดไม่ได้ที่จะใช้น้ำชาสาดใส่เขา ต่อมาเขาจัดเลี้ยงเพื่อทำให้นางขายหน้า นางก็ไม่ยอมให้เขามีชีวิตเป็นสุขเช่นกัน จากนั้นเขาขโมยไม้เท้าของนาง นางก็ส่งพิณกลับไปเป็นการเหน็บแนม…เรื่องราวแต่ละเรื่องล้วนทำให้อดหัวเราะไม่ได้
หลังจากที่ตาบอด นางก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับชายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ เขาดึงนิสัยด้านร้ายของนางออกมา นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้ระหว่างที่ได้รู้จักกันอาจมีการต่อปากต่อคำกันมาโดยตลอด แต่นางกลับได้รับความรู้สึกเบิกบานใจที่หาได้ยากยิ่งภายหลังจากตาบอด
เกี้ยวเจ้าสาวโยกไปมาตลอดทางจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลหลง จวีมู่เอ๋อร์ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงม่านกั้นถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงอันทรงพลังของท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “มา!”
จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกไป นางมองไม่เห็น แต่มือของนางกลับวางลงกลางฝ่ามือของเขาอย่างแม่นยำ มือของเขาทั้งหนาใหญ่และอบอุ่น
เขาจูงมือนาง นำตัวนางออกจากเกี้ยว
รอบข้างมีแต่เสียงผู้คนคึกคักครื้นเครง สนุกสนานรื่นเริงจนแสบหู
จวีมู่เอ๋อร์หัวใจเต้นโครมคราม นางจับมือของท่านหลงเอ้อร์ไว้ด้วยความตื่นเต้น ได้ยินคำพูดของเขาไม่ชัดเจนอยู่บ้าง นางกับเขาเดินข้ามธรณีประตูของคฤหาสน์สกุลหลง จากนั้นเดินต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเขาพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ยกเท้า”
‘ยกเท้า’ หรือ จวีมู่เอ๋อร์จำได้ว่าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลหลงมีธรณีประตูอันเดียว ดังนั้นพอเดินเข้ามาจึงทำตามเสียงที่บอกไม่ทัน เท้าเตะเข้ากับธรณีประตูสูงอันหนึ่งจนเกือบสะดุดล้ม
จากนั้นนางก็รู้สึกว่าท่านหลงเอ้อร์เข้าใกล้ตัวนาง พูดกับนางว่า “ตรงนี้วางธรณีประตูปูผ้าแดงเอาไว้ ใช้ในประเพณีการแต่งงาน พวกเราต้องข้ามไปพร้อมกัน”
จวีมู่เอ๋อร์นึกขึ้นได้ว่าแม่สื่อเคยบอกเอาไว้แล้วจึงพยักหน้า ยกเท้าจะก้าวข้าม แต่กลับเตะถูกธรณีประตูอีกครั้ง ท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “ยกเท้าสูงอีกนิดก็พ้นแล้ว”
คนรอบข้างพากันหัวเราะ จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงหูแดง แม้จะเป็นธรรมเนียม แต่ธรณีประตูนี้สูงเกินไปสักหน่อยหรือไม่ ทันใดนั้นนางจึงรู้ตัวว่าสองมือของตนเกาะท่านหลงเอ้อร์เอาไว้แน่น ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย นางอายจนต้องรีบปล่อยมือ
นางที่กำลังลนลานมือเท้าเปะปะ ได้ยินเขาบอกว่า “ด้านหน้ามีอ่างไฟเล็กๆ เจ้าก้าวข้ามไปก็พอ” เพื่อให้สะดวกต่อจวีมู่เอ๋อร์ที่ดวงตามองไม่เห็น อ่างไฟนั้นจึงเล็กกว่าในงานมงคลอื่นถึงสองเท่า
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยกเท้าขึ้นแล้วหยุดคิดด้วยความลังเล นางไม่รู้ว่าต้องก้าวยาวเพียงใด หากเหยียบอ่างไฟพลิกคว่ำจะเป็นการทำลายฤกษ์ดีไปหรือไม่
นางกัดฟันคิดจะลองก้าวให้ยาวที่สุด จู่ๆ เสียงของท่านหลงเอ้อร์ก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เจ้านี่ ยุ่งยากจริง” จากนั้นเอวของนางก็ถูกเขากอดเอาไว้แน่น ยกตัวนางข้ามอ่างไฟมา
หลังจากเท้าของจวีมู่เอ๋อร์แตะพื้น นางก็หน้าแดงอย่างไม่อาจแดงไปกว่านี้ได้อีก ยังโชคดีที่มีผ้าแดงคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้
ในที่สุดคนทั้งสองก็ไปถึงโถงมงคล ถือเวลามงคลทำพิธีไหว้ฟ้าดินจนเสร็จสิ้น จวีมู่เอ๋อร์ถูกแม่สื่อดันตัวหมุนไปมา เมื่อทำพิธีเสร็จจึงแยกแยะทิศทางได้ไม่ชัดเจน
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘เสร็จพิธี’ ต่อด้วยคำว่า ‘ส่งตัวเข้าห้องหอ’ จวีมู่เอ๋อร์ถูกดันตัวให้เดินไป นางไม่ได้กุมมือกับท่านหลงเอ้อร์ ในใจจึงรู้สึกลนลานเล็กน้อย
กลุ่มหญิงชราและสาวใช้พากันล้อมตัวพาจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องหอ ประคองนางให้นั่งลงบนเตียงมงคล เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการ ทุกคนก็ถอยออกไป เพียงไม่นานแม่นมอวี๋ก็เดินกลับเข้ามา บอกว่าตนยังมีงานต้องจัดการอยู่ด้านนอกอีก คงไม่เข้ามาแล้ว และบอกให้จวีมู่เอ๋อร์พักผ่อนอย่างสบายใจ ที่นี่มีเสี่ยวผิงกับเสี่ยวจู๋สาวใช้สองคนคอยรับใช้อยู่ หากนางต้องการอะไรก็บอกพวกนางได้ จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลังจากนั้นแม่นมอวี๋ก็กำชับสาวใช้อีกหลายคำแล้วจึงเดินออกไป
จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเกร็ง นางนั่งนิ่งอยู่นานไม่กล้าขยับ ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าผู้เฒ่าจวีมอบซองแดงให้นางมาหลายซอง หญิงชราข้างบ้านเคยสอนไว้ว่านี่เป็นซองเงินมงคลที่ต้องมอบให้พวกแม่นมอวี๋หลังจากเสร็จพิธีและพานางไปรอในห้องหอเพื่อเป็นรางวัลตามธรรมเนียม แต่ตอนนี้พวกแม่นมอวี๋ออกไปแล้ว นางคิดอยากเรียกตัวให้กลับมารับเงินมงคลก่อน แต่ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ หากรอให้ในวันพรุ่งนี้แทนจะเป็นการไม่ดีหรือไม่
จวีมู่เอ๋อร์กำลังลังเลใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเอ่ยเรียก “ฮูหยินสาม คุณหนูเป่าเอ๋อร์”
ที่แท้เป็นเฟิ่งอู่พาหลงเป่ามาที่นี่
พอเฟิ่งอู่มาถึงก็บอกว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากพี่รองให้มาดูแลเจ้าสาว”
หลงเป่าที่อยู่ด้านข้างเลียนแบบคำพูด “ข้าได้รับคำสั่งจากลุงรองให้มาดูแลป้ารอง”
น้ำเสียงของพวกนางสดใสดูมีความสุข ทำให้จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ เฟิ่งอู่ก็หัวเราะเช่นกัน นางเลียนแบบน้ำเสียงและการพูดของหลงเอ้อร์ “อย่างไรเสียเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้รองของเจ้าดีกว่า ดูสิว่านางเหนื่อยหรือไม่ หิวข้าวหรือไม่ หิวน้ำหรือไม่ เบื่อหรือไม่”
คราวนี้ไม่เพียงแต่จวีมู่เอ๋อร์ที่หัวเราะ สาวใช้สองคนก็พลอยหัวเราะไปด้วย เฟิ่งอู่ไม่วางท่ามาแต่ไหนแต่ไร ชอบพูดเล่นกับเหล่าสาวใช้อยู่เสมอ เสี่ยวจู๋จึงพูดแซวขึ้นว่า “นายท่านรองต้องป้องกันไม่ให้ฮูหยินสามแกล้งเขาในงานฉลองแน่นอน จึงส่งฮูหยินสามมาที่นี่”
เสี่ยวผิงเองก็พูดเสริม “นั่นสิๆ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ให้ฮูหยินใหญ่มาแทน”
“หึ” เฟิ่งอู่โบกมือ ต่อปากกับพวกนางทันที “พี่รองฉลาดเป็นกรด ช่างวางแผนนัก เขาคิดจะรับซองอวยพรให้มากหน่อย ดังนั้นไม่ว่าใครก็กล้าเชิญมา ในจำนวนแขกมีคนที่พี่ใหญ่ไม่ลงรอยอยู่ด้วย หากพี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยู่ตรงนั้นคอยช่วยรับหน้าเอาไว้ ถ้าพี่ใหญ่อาละวาดขึ้นมาใครจะเอาอยู่ล่ะ” เฟิ่งอู่พูดพลางยื่นมือไปจับมือของจวีมู่เอ๋อร์ “ตอนนี้พี่สะใภ้รองแต่งเข้าบ้านมาแล้ว จะต้องจัดการจิ้งจอกอย่างพี่รองให้ดีล่ะ”
จวีมู่เอ๋อร์ได้แต่หัวเราะ หลงเป่ารู้สึกสนใจเมล็ดแตงและถั่วลิสงที่อยู่บนเตียงมงคล จึงปีนขึ้นเตียงไปนั่งข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ แล้วแกะเปลือกถั่วลิสงกินเอง จวีมู่เอ๋อร์ที่ถูกพวกนางพูดหยอกเล่นก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ในตอนนี้เองบ่าวสองคนก็ส่งเหล้าและอาหารเข้ามา บอกว่านายท่านรองเป็นคนสั่ง
ดังนั้นเฟิ่งอู่จึงช่วยเปิดผ้าคลุมหน้าของจวีมู่เอ๋อร์ออกเพื่อให้กินอาหาร บอกว่างานเลี้ยงฉลองมงคลยังต้องใช้เวลาอีกนาน ตอนนี้กินอาหารก่อนดีกว่า
จวีมู่เอ๋อร์ฉวยโอกาสดึงตัวเฟิ่งอู่มากระซิบถามถึงธรรมเนียมการมอบเงินมงคลหลังพิธี ปรากฏว่าเฟิ่งอู่ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “ข้ากับท่านหลงซานไม่ได้จัดพิธีไหว้ฟ้าดินกันจริงจังจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ตอนนั้นท่านหลงซานหลอกข้า ข้าที่คิดว่าได้แต่งกับเขาแล้วจึงไม่ได้จัดการเรื่องเหล่านี้ ภายหลังพอได้รู้ กลับคิดว่ายุ่งยาก ไม่อยากจัดพิธีอะไรแล้ว เจ้าก็อย่ากังวลไปเลย ธรรมนงธรรมเนียมอะไรไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหรอก เจ้าดูข้ากับท่านหลงซานสิ ไม่มีพิธีอะไร ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันดีไม่ใช่หรือ”
จวีมู่เอ๋อร์งุนงงอยู่บ้าง นางฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก จู่ๆ เฟิ่งอู่ก็ถามกลับว่าเหตุใดต้องก้าวข้ามธรณีประตูที่ปูด้วยผ้าแดงและข้ามอ่างไฟ จวีมู่เอ๋อร์ตอบตามที่หญิงชราเคยสอนนาง “จะได้รุ่งเรืองสว่างไสวเหมือนดั่งไฟ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ตอนนั้นข้ายังรู้สึกประหลาดใจ คิดว่าหญิงสาวที่แต่งงานกับพี่รองต้องมีความกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟเสียอีก”
บุกน้ำลุยไฟ? จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังไปพร้อมกับทุกคน คนในสกุลหลงทุกคนล้วนน่าสนใจเช่นนี้หรือ
จากนั้นเฟิ่งอู่ก็เร่งให้นางไปที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร หลงเป่ากระโดดลงจากเตียง ยื่นมือไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ จวีมู่เอ๋อร์ที่เริ่มรู้สึกสนิทสนมกับพวกนาง ถอดผ้าคลุมหน้าออก นั่งลงที่โต๊ะกินอาหารและดื่มเหล้าร่วมกับพวกนาง
หญิงทั้งสองคนดื่มเหล้ากินอาหารจนเต็มอิ่ม พูดคุยกันอยู่นาน ต่างรู้สึกว่าถูกชะตากัน
ดึกมากแล้ว ไม่รู้ว่าหลงเป่าขึ้นไปแกะถั่วลิสงกินตั้งแต่เมื่อใด แกะไปแกะมา ตอนนี้ยังซุกตัวเข้าไปนอนในผ้าห่มอีก เฟิ่งอู่ที่ดื่มจนรู้สึกมึน กำลังเล่าเรื่องหน้าแตกหลายเรื่องของหลงเอ้อร์อย่างออกรสออกชาติ ด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้าและเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นในทันใด
เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจู๋ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามาประคองจวีมู่เอ๋อร์กลับไปที่เตียง รีบปิดผ้าคลุมหน้าลง เพิ่งจะคลุมเสร็จ ประตูก็เปิดออก หลงเอ้อร์ที่ตัวมีแต่กลิ่นเหล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตู
หลงเอ้อร์ดื่มมามากพอสมควร เขาเดินโงนเงนขยับเข้ามาอย่างช้าๆ เหล่าคุณชายกลุ่มหนึ่งตามอยู่ด้านหลังตะโกนว่าอยากเห็นหน้าเจ้าสาวและจะรอป่วนห้องหอตามธรรมเนียม หลงเอ้อร์ที่เมาแล้วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้าห้องมา เดือดร้อนถึงหลงซาน ทำให้เขาต้องพยายามขวางคนทั้งหลายไม่ให้เข้าไปสร้างความวุ่นวาย น่าเสียดายที่มีกำลังเพียงหนึ่ง เกรงว่าคงขวางไม่ได้
ในตอนนี้เองเฟิ่งอู่ที่ดื่มจนหน้าแดงก่ำก็กระโดดขึ้นมา นางเดินผ่านตัวหลงเอ้อร์ไปนอกห้อง ร้องรับเสียงดัง “ดีเลยๆ พวกเรามาป่วนห้องหอกัน”
เมื่อนางเข้าร่วม เสียงอึกทึกนอกห้องก็พลันเงียบลง ทุกคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นพูดอวยพรแล้วจากไป
ล้อเล่นน่า ทุกคนต้องการป่วนห้องหอแค่เพียงหยอกเย้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทำจริงหรอก แต่หากฮูหยินสามเข้าร่วม เกรงว่าคงรักษาความสงบไว้ไม่ได้ ดังนั้นแยกย้ายกันดีกว่า อย่าก่อเรื่องจนทุกคนต้องแบกรับความผิดเลย
หลงซานโล่งอก คนกลุ่มนั้นตัวเขาขวางเอาไว้ไม่อยู่ แต่ภรรยาของเขากลับสามารถจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม เฟิ่งอู่เห็นทุกคนจากไปแล้วก็รู้สึกผิดหวัง ทำได้เพียงบ่นอย่างเศร้าสลดกับหลงซาน
ในตอนนี้เหล่าหญิงชราพากันกรูเข้ามาในห้อง ยื่นไม้คันชั่ง* ให้หลงเอ้อร์ใช้เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดง แล้วจัดเตรียมของต่างๆ เช่นเหล้าคล้องใจ เกี๊ยวสด จากนั้นเมื่อธรรมเนียมเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็รีบเดินออกไป
คืนแรกในการเข้าหอของนายท่านรอง ใครจะกล้ามาก่อกวนรนหาที่ตายกัน
หลงซานกำลังพาเฟิ่งอู่กลับไปที่ห้อง เฟิ่งอู่ที่รู้สึกเมาอยู่บ้างกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย หลงซานทั้งกอดทั้งดึงตัวนางกลับไป พลางเอ่ยปากถามว่า “เชี่ยวเอ๋อร์ล่ะ”
เฟิ่งอู่โงนเงนไปมาตอบอย่างมึนงง “ให้แม่นมช่วยดูอยู่ คงนอนแล้วล่ะ”
หลงซานเห็นท่าทางเหมือนแมวเมาของนางก็อยากหัวเราะ เขาจุมพิตที่แก้มของนางแล้วถามต่อ “เป่าเอ๋อร์ล่ะ นอนแล้วเหมือนกันหรือ”
เฟิ่งอู่พยักหน้า แต่หลังจากนั้นกลับส่ายหน้า นางหยุดนิ่งมองไปรอบๆ ถามหลงซานกลับว่า “เป่าเอ๋อร์ล่ะ”
หลงซานทำหน้างง “เจ้าถามข้าหรือ”
เฟิ่งอู่ตกตะลึง ทันใดนั้นก็กระโดดอย่างร้อนใจ “อ๋า แย่แล้วๆ ข้าลืมเป่าเอ๋อร์ไว้บนเตียงของพี่รอง”
ในห้องหอตอนนี้ หลงเอ้อร์กำลังวุ่นวายใจที่บนเตียงมีเด็กน้อยปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลัน
เขารอให้คนออกไปหมดอย่างอดทน กำลังคิดจะกอดภรรยาของตน กลับถูกปิ่นมุกบนมงกุฎมงคลของนางแทงเข้าหนึ่งที หลงเอ้อร์บ่นอย่างไม่พอใจ ลงมือถอดมงกุฎมงคลออกด้วยตัวเอง แต่สิ่งนี้ถอดได้ยาก ด้านซ้ายมีตัวหนีบหนึ่งตัว ด้านขวามีปิ่นอีกหนึ่งตัว ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงขมวดคิ้วจนมันย่นเข้าหากัน แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าสิ่งนี้หนักหรือไม่”
“หนัก” จวีมู่เอ๋อร์ตอบ หลงเอ้อร์รู้สึกว่าแขนเสื้อของตนถูกนางดึงหนึ่งที
“หากใส่ไว้เหนื่อยหรือไม่” เขาถามอีก
“พอทนไหว”
หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “ข้าจะรีบถอดออกให้”
“อืม” หนังหัวของจวีมู่เอ๋อร์ถูกดึงจนเจ็บ แต่นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย กลับเป็นหลงเอ้อร์ที่บ่นขึ้นอีก “ข้าบอกว่าข้าจะรีบถอดออกให้ เจ้าอย่าเร่งข้าสิ”
“ข้าไม่ได้เร่ง”
“เช่นนั้นเจ้าดึงแขนเสื้อข้าทำไม”
“ข้าไม่ได้ดึง”
หลงเอ้อร์หยุดมือลงทันที ไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร ด้านหลังจวีมู่เอ๋อร์ก็มีเสียงเด็กพูดงัวเงียดังขึ้น “ลุงรอง ท่านแม่ข้าล่ะ”
หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากกว้าง หลงเอ้อร์สร่างเมาไปครึ่งหนึ่ง โชคดีที่มงกุฎมงคลถอดออกยาก โชคดีที่เขาไม่ได้ใจร้อนรีบเข้าหอ เฟิ่งอู่ทิ้งลูกเอาไว้ที่นี่ จงใจก่อกวนเขาหรือ
หลงเอ้อร์ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร หลงซานและภรรยาก็มาเคาะประตูขอรับลูกคืนเสียก่อน หลงเอ้อร์ทำหน้าบึ้งตึงแล้วคืนหลงเป่าให้พวกเขา แววตาดุดันของหลงเอ้อร์ทำให้เฟิ่งอู่ตัดสินใจว่าสามวันหลังจากนี้นางต้องอยู่นิ่งๆ ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าพี่รองเด็ดขาด
หลงเอ้อร์ปิดประตูอย่างแรง จวีมู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะจนหยุดไม่ได้ นางเอนตัวล้มลงบนเตียง
“หัวเราะๆๆ เจ้า…” หลงเอ้อร์คิดจะอบรมนาง แต่พอเอ่ยปากกลับอดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปจิ้มหน้าผากของจวีมู่เอ๋อร์ “เมื่อครู่เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า คนโง่เท่านั้นจึงจะพูดความจริง
แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอมปล่อย ถามไปอีกเรื่อง “เจ้าท่องกฎสกุลได้หรือยัง เมื่อครู่เจ้าทำผิดกฎสกุล ข้าต้องลงโทษตามกฎ”
จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา “ท่านจะให้ข้าท่องกฎสกุลตอนนี้หรือ”
หลงเอ้อร์จ้องหน้านางเขม็ง คิดก่อกวนหรือ จะมีใครเสียเวลาเข้าหอคืนแรกเพื่อการท่องกฎสกุลบ้าง
“ต้องท่องจริงหรือ” จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวถาม ไม่สนใจ ‘ความดุร้าย’ ของเขาเลย
หลงเอ้อร์กัดฟัน คิดได้ว่าการจ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์เป็นการเสียเวลา เขาจึงทดแทนด้วยการใช้น้ำเสียงดุดัน “ข้าจ้องเจ้าอยู่นะ”
ถูกจ้องอีกแล้วหรือ
จู่ๆ จวีมู่เอ๋อร์ก็คิดถึงคำว่า ‘มีความกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟ’ ขึ้นมา นางอดหัวเราะเสียงดังอีกครั้งไม่ได้
หลงเอ้อร์โมโห เขากระโจนขึ้นเตียง กดตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้อยู่ใต้ร่างของตน แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงหัวเราะจนน้ำตาไหล ส่วนหลงเอ้อร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเด็กซน” เขาพูดพลางประกบปิดปากนางเอาไว้
คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะไม่ออกเสียแล้ว
จุมพิตของท่านหลงเอ้อร์ร้อนแรง เขาตวัดปลายลิ้นของนาง กัดริมฝีปากนางเบาๆ
จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวราวกับว่าตัวนางจะละลาย นางได้ยินเสียงครางเบาๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยรู้ตัวว่านั่นเป็นเสียงที่นางเปล่งออกมาเอง
หลงเอ้อร์มีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วตัว แม้แต่ในจุมพิตยังมีรสชาติของเหล้า เขายังมีอาการมึนเมา กิริยาจึงป่าเถื่อนอยู่บ้าง เขาบีบไหล่นางจนเจ็บ ยังดึงผมของนางอีก มงกุฎมงคลยังติดอยู่บนหัวของนาง เมื่อถูกดึงผมจึงทำให้เจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้า
หลงเอ้อร์ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ พอได้ยินเสียงนางร้องเจ็บก็ชะงักไป แต่เหมือนไม่รู้ตัวยังคงยื่นมือไปดึงทึ้งเสื้อผ้าของนาง เขาถอดเสื้อของนางออกชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดจนรู้สึกรำคาญ เมื่อจับถูกคอเสื้อจึงคิดจะฉีก จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกลนลานกับการกระทำของเขา นางรีบกุมมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ เสื้อตัวนี้แพงมากนะ”
หลงเอ้อร์นิ่งไป ไม่มีปฏิกิริยาอยู่ครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือไปลูบหน้าของเขา ใบหน้าของเขาร้อนดั่งไฟ นางจึงประกบกุมไว้เบาๆ
“แพงมากหรือ” เขาถามออกมา เช่นนั้นก็ไม่ฉีกเสื้อแล้ว แต่ยังคงกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย
คนทั้งสองนอนกอดกันไม่ได้พูดจา ผ่านไปครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์จึงแตะตัวหลงเอ้อร์แล้วเรียกเขาเบาๆ “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านเมาแล้ว”
หลงเอ้อร์เงยหน้าขึ้นทันใด หรี่ตามองนางอยู่นาน จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งตัวโงนเงนไปมา พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่เมา ดื่มพันถ้วยข้าก็ไม่เมา” จวีมู่เอ๋อร์อดหัวเราะไม่ได้ หลงเอ้อร์ดึงตัวนางขึ้นมา “ทำไม เจ้าไม่เชื่อหรือ มาๆ มาดื่มเหล้ากับข้า ดูสิว่าใครจะเมาก่อนกัน”
จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านอย่าดื่มอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงจะเมาเข้าจริงๆ”
หลงเอ้อร์บ่นอย่างไม่พอใจ บอกว่าในกฎสกุลต้องเพิ่มอีกหนึ่งข้อ…อย่าดูถูกหลงเอ้อร์
จวีมู่เอ๋อร์กลั้นหัวเราะ มือประคองจับมงกุฎมงคลที่แทบจะหลุดลงมา แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ ใครจะกล้าดูถูก ขอร้องท่านหลงเอ้อร์ช่วยถอดมงกุฎบนหัวของข้าออกก่อนเถอะ!”
หลงเอ้อร์หรี่ตาจ้องมองมงกุฎมงคล ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ช่วยนางถอดออกจนเสร็จ เขายื่นมือไปแกะมงกุฎนั้นต่อ แกะพลางพูดว่า “ดูสิ ช่วงเวลาสำคัญก็ต้องอาศัยข้า”
“ใช่ๆ ต้องอาศัยท่านหลงเอ้อร์ทั้งหมด” จวีมู่เอ๋อร์อดทนกับความเจ็บที่ถูกดึงทึ้งเส้นผม ส่วนปากก็เอ่ยชมต่อไป
“รอแกะเสร็จแล้ว เจ้าก็มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า เจ้าจะได้เห็นความสามารถดื่มพันถ้วยไม่เมามายของข้า”
จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ท่านพักผ่อนให้เร็วสักนิดไม่ดีกว่าหรือ”
หลงเอ้อร์หัวเราะหึๆ เสียงหัวเราะปนหยอกเย้านั้นทำให้จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดง
“ทำไม เจ้าใจร้อนแล้วหรือ” หลงเอ้อร์โยนมงกุฎมงคลไปที่ปลายเตียง ผลักตัวจวีมู่เอ๋อร์เพียงเบาๆ นางก็ล้มลงนอนบนเตียง ริมฝีปากเขาตามติดนาง กระซิบเสียงเบา “ใจร้อนอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก”
จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำทันที “ใคร…ใครใจร้อน”
หลงเอ้อร์หัวเราะ ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของนางเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินของข้าจะใจร้อนเช่นนี้”
“ท่าน…ท่านอย่าพูดส่งเดช ข้าไม่ได้ใจร้อนนะ”
“ข้าชอบที่เจ้าใจร้อน”
“ข้าไม่ได้ใจร้อน”
“ข้าชอบที่เจ้าใจร้อนแต่ยังปากแข็งบอกว่าไม่ได้ใจร้อน” หลงเอ้อร์ยิ้มกว้าง
จวีมู่เอ๋อร์ถูกเขาพูดจนรู้สึกว่าตนใจร้อนขึ้นมาจริงๆ เพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน เขาก็เริ่มแกล้งนางแล้วหรือ จวีมู่เอ๋อร์กัดฟัน “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าไม่ได้ใจร้อนจริงๆ หากจะดื่มเหล้า ข้าดื่มเป็นเพื่อนท่านแล้วกัน”
“จะดื่มเหล้าแล้วหรือ” หลงเอ้อร์ลากเสียงยาวมาก แนบริมฝีปากติดริมฝีปากของนางแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าให้เจ้าดื่ม เหตุใดจึงไม่ตอบตกลง”
“ข้าผิดไปแล้ว ท่านดื่มพันถ้วยไม่เมามาย ข้าไม่ควรไปขัดความสุขของท่าน”
หลงเอ้อร์เอียงหัวมองจวีมู่เอ๋อร์ นางปัดแก้มด้วยสีชาด ซ้ำยังถูกเขาแกล้งจนหน้าแดงเพิ่มขึ้นอีก เขาอดใจไม่ได้จึงก้มหน้าลงไปจุมพิตนางครั้งแล้วครั้งเล่า คิดอยากเห็นความงามของนางหลังจากดื่มเหล้าเมา ดังนั้นจึงดึงตัวนางขึ้นมา พาไปที่โต๊ะแล้วเทเหล้าให้นางหนึ่งถ้วย
จวีมู่เอ๋อร์กลัวว่าหลงเอ้อร์จะกล่าวหาว่านางใจร้อนอยากเข้าหอจึงรีบกระดกเหล้าถ้วยนี้เข้าปากไป
หลงเอ้อร์งุนงง เขาคิดว่านางจะถือถ้วยเหล้าบ่ายเบี่ยงไปมา ต้องให้เขาเกลี้ยกล่อมก่อนจึงยอมดื่ม คาดไม่ถึงว่านางจะดื่มรวดเดียวเช่นนี้ หลงเอ้อร์กระแอมไอ ใจคิดว่าตนจะยอมแพ้ไม่ได้ เขาเทเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จากนั้นดื่มจนหมดเช่นกัน ยังใช้ถ้วยเหล้าเปล่าแตะถ้วยเหล้าของนางแล้วพูดว่า “ข้าดื่มหมดถ้วยเป็นเพื่อนเจ้า”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์เทเหล้าจนเต็มถ้วยทั้งสองใบอีกครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หมดถ้วย”
จวีมู่เอ๋อร์กระดกดื่มจนหมดอีกครั้ง หลงเอ้อร์ที่เดิมทีรู้สึกมึนหัวมากอยู่แล้ว แต่พอเห็นนางดื่มเช่นนี้ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ ใจคิดว่าจะแพ้นางไม่ได้ ดังนั้นจึงดื่มรวดเดียวจนหมด
คนทั้งสองแข่งกันดื่ม ‘เจ้าหนึ่งถ้วยข้าหนึ่งถ้วย’ ต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ
ความทรงจำสุดท้ายของหลงเอ้อร์ในคืนนี้ก็คือใบหน้าแดงระเรื่อของจวีมู่เอ๋อร์ที่มีรอยยิ้มอยู่นั้นเอ่ยถามเขาว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ยังจะดื่มอีกหรือไม่”
เขาหัวหนักเท้าเบา รู้สึกมึนงง เอ่ยตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “ดื่ม!”
หลังจากนั้นเขาก็ตื่น พอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าฟ้าสว่างเสียแล้ว
นอกประตูมีเสียงความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง คิดว่าคงได้เวลาลุกจากเตียงไปล้างหน้ากันแล้ว ส่วนเหล่าสาวใช้ไม่กล้ารบกวนจึงคอยเฝ้าอยู่นอกประตูอย่างเงียบๆ
หลงเอ้อร์คิดอยู่ครู่ใหญ่จึงจำได้ว่าเมื่อคืนเขาดื่มเหล้าจนเมา ตอนนี้เขาสวมชุดมงคลยับๆ นอนอยู่บนเตียงมงคลที่เต็มไปด้วยเปลือกถั่วลิสง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ที่สวมชุดมงคลยับๆ เช่นกันก็นอนหลับสบายอยู่ข้างกายเขา
หลงเอ้อร์ปวดหัวมาก เขาคิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง หรือว่าเขาจะลืมตัวหลงกลมู่เอ๋อร์ของเขาเข้าอีกแล้ว
เขาหันหน้าไปมองจวีมู่เอ๋อร์ นางที่นอนหลับมีใบหน้าสีฝาดเลือด มองดูมีน้ำมีนวลน่ากินเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่านางยิ่งดูน่ากิน ความโมโหในใจของหลงเอ้อร์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น คืนแรกใต้แสงเทียนในห้องหอ เขากลับแข่งดื่มเหล้าจนเผลอหลับไปเสียแบบนั้น!
หลงเอ้อร์ใช้แรงปลุกจวีมู่เอ๋อร์ให้ตื่น นางงัวเงียพูดขึ้นว่า “พ่อ ข้ายังอยากนอนต่อ”
“ข้าคือสามีของเจ้า” ความโกรธของหลงเอ้อร์พุ่งสูงขึ้น
“ท่านพี่ ข้ายังอยากนอนต่อ” จวีมู่เอ๋อร์เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ยอมลืมตา
หลงเอ้อร์จิ้มหน้าผากนาง “นอนๆๆ รู้จักแต่นอน”
จวีมู่เอ๋อร์ถูกจิ้มจนดูเหมือนจะได้สติ นางเริ่มขยี้ตา
หลงเอ้อร์เห็นท่าทางงัวเงียของนางก็ยิ่งโกรธ เรื่องนี้ต้องโทษนาง หากนางไม่ได้หลอกล่อเขา เขาคงไม่ดื่มมากจนถึงขนาดนอนหลับปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างสูญเปล่าเช่นนี้ เขาเอ่ยถามอย่างดุดัน “สามีของเจ้าล่ะ”
จวีมู่เอ๋อร์ชี้มาที่ตัวเขา “อยู่ตรงนี้ไง”
“เจ้ายังจำได้หรือ”
“จำได้”
“หึ” หลงเอ้อร์กอดอกมองนางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอ่ยถามอีก “ยังอยากดื่มเหล้าอีกหรือไม่”
คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์ได้สติเต็มที่ รีบก้มหน้าตอบเสียงประนีประนอม “หากท่านหลงเอ้อร์อยากให้ข้าดื่มเป็นเพื่อน ข้าก็จะดื่ม”
“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ใช่หรือไม่”
“ไม่กล้าๆ”
“มีเรื่องที่เจ้าไม่กล้าด้วยหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาเหมือนภรรยาตัวน้อย “ไม่กล้าจริงๆ”
“จริงหรือ”
“กฎสกุลข้อแรกข้ายังจำได้นะ”
นางเชื่อฟังขนาดนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่
หลงเอ้อร์หรี่ตาลง พยายามย้อนคิดถึงท่าทางเมาเหล้าของนางเมื่อคืน แต่เขากลับคิดไม่ออก เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่มันคืออะไรล่ะ
เมื่อหลงเอ้อร์คิดไม่ออกจึงเลิกคิด เขาเอ่ยถามนางว่า “ปวดหัวหรือไม่”
เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์จะส่ายหน้า แต่คิดได้ว่าเขาต้องปวดหัวแน่นอนจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้า “ปวด”
นางเป็นเหมือนกับเขา หลงเอ้อร์รู้สึกสบายใจขึ้นในทันที
ในตอนนี้เองด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น สาวใช้เอ่ยถามผู้เป็นนายเสียงเบาว่าจะตื่นขึ้นมาล้างหน้าแล้วหรือยัง หลงเอ้อร์กำลังจะตอบ แต่คิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังสวมชุดมงคลอยู่ หากสาวใช้เห็น เขาคงขายหน้ามาก ดังนั้นจึงรีบถอดเสื้อตัวนอกออกโยนไปบนตัวของจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นปล่อยม่านกั้นเตียงลงแล้วเอ่ยปากอนุญาตให้สาวใช้เข้ามา
จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่หลังม่านกอดเสื้อผ้าของหลงเอ้อร์เอาไว้แล้วแอบหัวเราะ ในใจก็ท่องกฎสกุล…ห้ามแกล้งประชดท่านหลงเอ้อร์ ห้ามทำให้ท่านหลงเอ้อร์เบื่อ คำพูดของท่านหลงเอ้อร์ต้องเชื่อฟัง ห้ามทำเรื่องที่ทำให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่พอใจ…แต่พอนางท่องไปท่องมา กลับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาช่างดีเหลือเกิน นางอยากอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตเลย
เสียงหัวเราะของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ ยิ่งรู้สึกว่าเมื่อคืนต้องมีอะไรเกิดขึ้น
วันแรกหลังการแต่งงานของคนทั้งสองมีเวลาว่างมาก นอกจากต้องกินอาหารกลางวันกับหลงต้าและหลงซานแล้วก็กลับไปพักผ่อนในเรือนพักของตัวเอง จวีมู่เอ๋อร์กอดผ้าห่มนอนหลับอย่างสบายใจเพื่อเป็นการชดเชย แต่หลงเอ้อร์กลับหงุดหงิดจนเดินไปมาไม่หยุด คืนแต่งงานเสียไปเปล่าๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปที่หอหนังสือ แล้วนั่งอ่านบัญชีเพื่อสงบสติอารมณ์
เมื่อคืนทุกคนสนุกสนานกันมาก บ่าวจำนวนมากยังคงมีอาการมึนเมา มีบางคนมายืนคุยทับถมกันตรงมุมทางเดินว่าผู้ใดคอแข็งกว่ากัน หลงเอ้อร์ที่หูดีได้ยินทุกอย่างชัดเจน เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ในทันใด จึงหมุนตัวเดินกลับห้องไป
จวีมู่เอ๋อร์ยังคงนอนหลับอยู่ หลงเอ้อร์จ้องมองใบหน้าตอนนอนของนางอยู่นาน ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้ไปนำเหล้าและอาหารเข้ามา
จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ลืมตาก็ได้กลิ่นเหล้าแล้ว นางครุ่นคิดสักครู่แล้วลุกขึ้นนั่ง
จากนั้นก็ได้ยินท่านหลงเอ้อร์ถามว่า “มู่เอ๋อร์ เมื่อคืนไม่ทันได้ถามเจ้าว่าเจ้าคอแข็งมากแค่ไหน”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างระมัดระวังตัว “พอใช้ได้”
หลงเอ้อร์ยื่นมือไปบิดติ่งหูของนาง “เช่นนั้นเมื่อคืนเจ้าดื่มเหล้ากับข้า เหตุใดจึงไม่บอกว่าเจ้าคอแข็งไม่เลว”
“ท่านไม่ได้ถาม”
“เหตุใดจึงไม่บอกให้ข้าหยุดดื่ม”
“ท่านไม่ยอม”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าที่เราพลาดคืนแรกของการแต่งงานไปเป็นความผิดของข้าหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที หลงเอ้อร์ยื่นหน้าเข้าไปกัดริมฝีปากนางทีหนึ่ง พูดทั้งที่ปากยังแตะริมฝีปากของนาง
“เจ้าว่าควรทำอย่างไรกับความเสียหายของข้า”
จวีมู่เอ๋อร์เขินอายจนไม่รู้จะทำเช่นใด นางควรพูดอย่างไรดี
“เจ้าต้องชดใช้” หลงเอ้อร์ใช้น้ำเสียงพูดราวทวงหนี้และบิดติ่งหูของนางอีกครั้ง
จวีมู่เอ๋อร์ร้องเจ็บ นวดหูพลางพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นข้าก็สูญเสียเช่นกัน สามีข้าห่วงแต่จะดึงข้าไปดื่มเหล้า เรื่องนี้ข้าต้องไปร้องเรียนกับใคร”
“มาร้องเรียนกับข้าสิ” หลงเอ้อร์นั่งเบียดข้างกายนาง “เจ้าว่ามา ข้ากำลังรอฟังอยู่”
จวีมู่เอ๋อร์จะพูดอะไรได้ นางสูดจมูกแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพี่เตรียมเหล้าและอาหารไว้หรือ อยากดื่มกับข้าอีกหรือไม่”
“ก่อนหน้านี้ก็คิดเช่นนั้น แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
จวีมู่เอ๋อร์หัวใจเต้นรัว เลือดฉีดขึ้นบนใบหน้า หลงเอ้อร์ผลักนางล้มลงแล้วกดไว้บนเตียง “เดิมคิดจะดูว่าเจ้าคอแข็งขนาดไหน แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว ข้าตัดสินใจจะทวงหนี้คืนก่อนแล้วค่อยคุยกันเรื่องอื่น”
จวีมู่เอ๋อร์เขินอายอย่างหนัก พูดแย้งทันใด “ฟ้ายังไม่มืดเลย”
“เจ้ามองเห็นข้าหรือ” หลงเอ้อร์ถาม
“ไม่เห็น”
“เช่นนั้นฟ้าก็มืดแล้ว”
ความเอาแต่ใจของเขาทำให้จวีมู่เอ๋อร์ทั้งเขินอายและอยากหัวเราะ นางกัดริมฝีปากไว้แต่ในที่สุดก็ถูกเขาครอบครองเอาไปได้
มือใหญ่ของเขาเลื่อนเข้าไปใต้เสื้อของนาง ลูบผิวกายของนาง จวีมู่เอ๋อร์ผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกว่าส่วนที่ฝ่ามือของเขาลูบผ่านยังคงสั่นสะท้าน
ร่างของหลงเอ้อร์เต็มไปด้วยความดุดัน เขาถอดเสื้อตัวในของนางออก จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนครางเบาๆ นางขดตัวด้วยความตื่นเต้น พยายามหาคำมาพูด “ท่านหลงเอ้อร์ ความจริงแล้วข้าคอแข็งไม่เลวเลย”
“หืม?”
“หนึ่งพันกับอีกหนึ่งถ้วยก็ไม่ล้ม”
ภายในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ
“มู่เอ๋อร์”
“หืม?”
“เจ้าทำผิดกฎสกุลข้อที่หนึ่ง”
“…”
“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าหากทำผิดกฎสกุลต้องถูกลงโทษตามกฎสกุล เจ้ายังจำได้หรือไม่” หลงเอ้อร์พูดพลางกัดใบหูของนาง จวีมู่เอ๋อร์สูดปาก ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงจับแขนของเขาเอาไว้แน่น
หลงเอ้อร์พ่นลมใส่หูนาง รับรู้ได้ว่านางเกร็งตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขายิ้มแล้วจุมพิตนาง จวีมู่เอ๋อร์โอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ได้ต่อต้าน แต่ความตื่นเต้นกลับไม่ลดลง หลงเอ้อร์แนบหน้าผากติดกับหน้าผากของนาง แล้วเอ่ยเรียกชื่อนางเบาๆ “มู่เอ๋อร์”
“ท่านพี่” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ
คำเรียกขานนี้ทำให้หลงเอ้อร์ยิ้ม ฟังแล้วรื่นหูจริง เขาลองเรียกนางอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์”
“ท่านพี่” นางตอบรับอีกครั้ง
“มู่เอ๋อร์”
“…”
“มู่เอ๋อร์”
“…”
“มู่เอ๋อร์”
ยังไม่จบอีกหรือ จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ท่านพี่!” เสียงตอบรับนี้พูดได้มีน้ำหนักมาก
หลงเอ้อร์หัวเราะร่วน “เจ้าอารมณ์เสียจริง”
นางไม่ได้เจ้าอารมณ์ นางเป็นคนอ่อนโยนเรียบร้อยที่สุด ไม่เช่นนั้นจะทนรับเขาได้อย่างไร
จวีมู่เอ๋อร์ถูกเขายั่วจนลืมความตื่นเต้น กำลังจะโต้ตอบกลับ ริมฝีปากกลับถูกเบียดแน่น เขากำลังจุมพิตนางอย่างอ่อนโยน
จุมพิตที่อ่อนโยนอ่อนหวานนี้ ทำให้จวีมู่เอ๋อร์ลืมไปว่าตัวเองคิดจะพูดอะไร ในสมองปรากฏคำว่า ‘ใช้ร่างกายตอบแทน’ ขึ้นมาในทันที
หลงเอ้อร์ก่อเปลวเพลิงในตัวนาง ทำให้นางรู้สึกว้าวุ่นแต่กลับสุขสมจนเกือบจะทนไม่ไหว นางกอดเขาไว้แน่น ในที่สุดก็รู้ว่าแท้จริงแล้วการใช้ร่างกายตอบแทนเป็นเรื่องที่ทำให้เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก
(โปรดติดตามต่อในเล่ม)