ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะถามต่อก็เห็นคนผู้หนึ่งควบม้าวิ่งมา ก่อนพลิกตัวลงจากม้า คารวะโจวฮุยอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านโหวเรียกท่านกลับไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เวลานี้เจียงชิงหว่านก็ประคองเหยาซื่อลงรถม้ามาแล้วเช่นกัน ได้ยินบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับโจวฮุย ในใจก็กำลังนึกสงสัยเช่นกันว่าจิ้งหนิงโหวคือผู้ใด
โจวฮุยกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าเจียง พอมองเห็นเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านก็กุมหมัดทำท่าคารวะไปทางพวกนาง นับว่าเป็นการทักทาย จากนั้นเขาก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า หันม้ากลับ มองทางที่มาก่อนห้อตะบึงจากไป คนที่ติดตามมากับเขาก็พากันขึ้นม้าห้อตะบึงออกไปเช่นกัน
พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองดูคนเหล่านั้นจากไปไกล จากนั้นก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากทางด้านหน้าที่คนเหล่านั้นไปยังมีคนอยู่อีกจำนวนมาก
ม้าที่คนอื่นขี่ล้วนมีขนสีผสม มีเพียงม้าของคนที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สีดำปลอดทั้งตัว ยามแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาต้องขนก็ดูเป็นประกายราวกับผ้าต่วน
คนบนม้าดูเหมือนกำลังฟังคนข้างกายพูดอยู่ เอนร่างน้อยๆ ทว่าหลังยังคงยืดตรงราวกับต้นไผ่ ในมือของคนทางซ้ายมือเขาถือคันธนูอยู่ คาดว่าเหล่าลูกธนูเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเขายิงออกมา
พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงต่างกำลังเดาว่าคนผู้นั้นคือจิ้งหนิงโหวที่โจวฮุยกล่าวถึง ทั้งยังลังเลว่าจะไปกล่าวขอบคุณดีหรือไม่
แต่ในเมื่อจิ้งหนิงโหวไม่ได้มาด้วยตนเอง เพียงให้โจวฮุยมาแทน ก็แสดงว่าไม่อยากพบพวกนางนัก บางทีอาจจะดูแคลนพวกนางเสียด้วยซ้ำ หากยามนี้พวกนางไปหาก็จะเป็นการไม่ดี
สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ยังไม่ได้ไปหา เพียงแต่เรียกองครักษ์มาถามว่าจิ้งหนิงโหวคือผู้ใด
หลายปีมานี้นางอยู่ที่กานโจวโดยตลอด และไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวในเมืองหลวงนักจึงไม่รู้ว่าจิ้งหนิงโหวเป็นใคร ทว่าในเมื่อมีบรรดาศักดิ์ก็จะต้องเป็นคนที่เก่งมากแน่นอน
เวลานี้เหยาซื่อเพิ่งจะหายตกใจ รู้สึกว่าตนเองเก็บชีวิตกลับมาได้แล้ว ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งต่อจิ้งหนิงโหวผู้นั้น จึงคิดว่ารอไปถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องผูกมิตรกับสตรีในจวนจิ้งหนิงโหวเสียหน่อย
แต่เมื่อหันกลับมากลับเห็นเจียงชิงหว่านมีใบหน้าซีดเผือด สายตาจ้องมองด้านหน้าเขม็ง ฟันบนกัดริมฝีปากล่างแน่น กระทั่งริมฝีปากมีเลือดสีแดงฉานซึมออกมา
เหยาซื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบจับมือเจียงชิงหว่านแน่น
มือเย็นเฉียบ ซ้ำยังสั่นเทา
ในใจเหยาซื่อยิ่งตระหนกขึ้นกว่าเดิม รีบเอ่ยถามว่า “หว่านวาน เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจสิ”
เรียกหว่านวานอยู่หลายรอบถึงจะเห็นเจียงชิงหว่านหันหน้ามามองนาง ดวงตามีประกายโศกเศร้าเสียใจ โกรธแค้นสับสน และยังมีอีกหลายความรู้สึกที่นางมองไม่ออก
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เสียงของนางแผ่วเบา ประหนึ่งว่าทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรง
คนเมื่อครู่นี้ คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตรงกลางผู้นั้น แม้จะอยู่ไกลจนนางมองเห็นหน้าตาเขาได้ไม่ชัด แต่ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี แค่เห็นเพียงเงาร่างนางก็จำได้ในแวบเดียวว่านั่นคือใคร
เขาก็คือชุยจี้หลิง คนที่เคยมาคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านนางท่ามกลางฝนตกหนักสามวันสามคืนเพื่อขอนางแต่งงาน เอ่ยสัญญาว่าจะดีต่อนางชั่วชีวิต จะไม่ทำให้นางได้รับความลำบากไม่เป็นธรรมแม้กระผีกเดียว แต่ภายหลังเขากลับมีบุตรกับสหายที่สนิทที่สุดของนาง ซ้ำยังส่งนางไปถวายตัวให้ฮ่องเต้ชราอีกด้วย
นางไม่มีทางจำผิดแน่!