ชาคริยาย้ายมาอยู่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเกาะฮอกไกโดได้เกือบสี่เดือนแล้ว ย้ายมาจากเมืองเล็กๆ บนเกาะเล็กสุดของญี่ปุ่น เกาะชิโกกุ
…มันเป็นความผกผันของชีวิต
เธอเคยบอกตัวเองว่าอย่างนั้น หลังจากที่จำต้องเปลี่ยนมหาวิทยาลัยเรียนต่อระดับปริญญาโทอย่างฉุกละหุกทั้งที่เลือกที่เรียนไปเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่ได้รับการตอบรับเรื่องทุนมาเรียนต่อ ในตอนแรกชาคริยาเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยเล็กๆ บนเกาะเล็กๆ แห่งนั้น และเธอก็เตรียมพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรียนภาษาหกเดือนในเมืองใกล้ๆ มหาวิทยาลัยที่เลือก เรียนจบหลักสูตรภาษาก็เข้าไปเป็นนักวิจัยเพื่อสร้างพื้นฐานความรู้ในแล็บของอาจารย์ที่หมายตาไว้ว่าจะเรียนต่อปริญญาโทด้วยอีกครึ่งปี ทั้งยังเฝ้าทำคะแนนสร้างสัมพันธ์อันดีกับเด็กๆ ในแล็บ รวมทั้งการหาห้องพักแสนสบายที่เธอจะต้องอยู่ไปอีกสองปีตลอดเวลาการเรียนระดับปริญญาโท
แต่แล้ว…มันก็เป็นความพลิกผันของชีวิตจริงๆ ที่ทำให้อาจารย์ที่ตอบรับเธอเข้าเรียนเกิดเปลี่ยนใจไปทำวิจัยที่ต่างประเทศกะทันหัน ก่อนจะมีการสอบเข้าปริญญาโทตามระเบียบของมหาวิทยาลัย นัยว่ามีสาเหตุมาจากการต่อสู้ขัดแย้งกับอาจารย์คนอื่นในภาคของตัวเอง นั่นทำให้เธอต้องเสาะแสวงหาที่เรียนใหม่อย่างทุลักทุเล ก่อนจะมาจบลงที่แล็บของอาจารย์ที่นี่ ที่เมืองนี้ เมืองเล็กๆ บนเกาะที่หนาวเย็น
…และคนขี้ขโมย
เธอต่อให้ในใจอย่างแค้นเคือง ก็จะไม่ให้แค้นได้อย่างไร จักรยานคันแรกที่เธอซื้อมาชื่นชมใช้งานได้แค่สามเดือนกว่าๆ เป็นต้องอันตรธานหายไปหลังจากที่เธอจอดมันทิ้งไว้หน้าบ้าน แล้วเริงร่าขึ้นรถประจำทางไปช็อปปิ้งแหลกในตัวเมือง ซื้อของเพลินจนรถประจำทางหมดต้องนั่งรถไฟมาลงที่สถานีซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไม่น้อยแล้วเดินกลับบ้านเพื่อพบว่าเจ้าสีเงินนัมเบอร์วันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ครั้งนั้นชาคริยายอมทำใจแต่โดยดี หลังจากที่โทรไปโวยวายกับที่บ้านและเพื่อนคนไทยที่เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยกันก่อนหน้านี้ จนทุกคนต่างหูชาไปตามๆ กัน หญิงสาวเฝ้ารออยู่สองอาทิตย์เผื่อว่าโจรจะกลับใจเอาจักรยานมาคืน แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น โจรไม่มีทางกลับใจแน่ๆ เธอจึงตัดใจควักเงินในกระเป๋าซื้อจักรยานใหม่อีกคัน…เจ้าสีเงินนัมเบอร์ทู
ชาคริยายังไม่ทันจะได้ซื้อสีสเปรย์มาพ่นสร้างลวดลายเวียนหัวตามคำแนะนำของพ่อที่เมืองไทย ยังไม่ได้เอาค้อนมาทุบให้มันบุบบี้ หรือเอาอะไรมาขูดให้สีถลอกดูเหมือนจักรยานเก่าๆ ตามคำแนะนำของเพื่อนๆ เจ้าสีเงินนัมเบอร์ทูก็อันตรธานหายไปอีกครั้งภายใต้ระยะเวลาการใช้งานไม่ถึงสองอาทิตย์
…แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แค้นได้ยังไง…จริงมั้ย
ป้อมตำรวจที่ตั้งอยู่ระหว่างร้านขายข้าวกล่องกับร้านเสริมสวยเงียบสงบไร้เงาคนที่เธอต้องการพบ ชาคริยาหันซ้ายแลขวาหาเงาตำรวจสักคนที่พอจะให้เธอแจ้งความจักรยานหายได้
“หายไปไหนกันหมดเฟ้ย ไม่อยู่รับใช้ประชาชนเลย”
อดไม่ได้ต้องพูดระบายอารมณ์ที่เหมือนจวนเจียนจะระเบิด ยืนรออยู่เสี้ยวนาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะตะโกนเรียกออกไปทั้งสามภาษา ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่น หากในห้องเล็กๆ นั้นก็ยังเงียบร้างผู้คน เธอเลยถือวิสาสะเดินตรงไปลองหมุนลูกบิดประตูที่ต่อเชื่อมห้องทางด้านหลังทันที
…ล็อก
…โว้ย แล้วหายไปไหนกันหมดฟะ ไม่รู้หรือไงว่าประชาชนตาดำๆ กำลังเดือดร้อน
เพราะทั้งเดือดทั้งร้อนจนทนรออยู่เฉยๆ ในห้องแคบๆ ของป้อมตำรวจเล็กๆ นั่นไม่ได้ ชาคริยาจึงเลื่อนเปิดประตูกระจกแล้วออกมายืนข้างนอก เพ่งสายตามองไปรอบๆ เผื่อตำรวจจอมอู้จะหลบไปนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงไหน หากแล้วสายตาเธอกลับไปปะทะเข้ากับใครบางคนที่เพิ่งรองรับอารมณ์ของเธอไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา
…ซามูไรตาฟ้า
นั่นล่ะ คำเรียกขานที่เธอตั้งให้หนุ่มข้างห้องในอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ ซามูไรตาฟ้า…ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เหมือนชาวตะวันตก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยแบบที่ไม่ต้องย้อมตามสมัยนิยมเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ ถูกมัดไว้เรียบร้อยที่ท้ายทอย โครงหน้าคมเข้ม จมูกโด่งผิดวิสัยชาวเอเชียบวกเข้าไปกับตาสีฟ้าใสแบบที่ถ้ามองอย่างเดียวก็คงจะคิดว่าเป็นนักเรียนต่างชาติมากกว่าเจ้าของประเทศ แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นน่ะเจ้าของประเทศแน่…เพราะเขามีทั้งนามสกุลและชื่อตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างชัดเจน เพียงแต่เธอไม่เคยสนใจจะอ่านและจำเท่านั้นเอง