ชิงซีมองดูสีหน้าเคร่งขรึมของคนบนเก้าอี้เหนือศาลนั้นแล้วในใจก็เกิดความหวาดกลัว รีบเล่าเรื่องการกระทำเลวร้ายของร้านแลกเงินสกุลจินออกมาหนึ่งรอบ
คนพวกนั้นทำให้พวกนางหวาดกลัว ข่มขู่ บีบให้คุณหนูของนางขายตัว เป็นใครได้ยินคำพูดนี้แล้วคิดว่าต้องมีสายตาของความเห็นใจแน่นอน
มีเพียงลู่เยี่ยนที่ไม่เป็นเช่นนั้น
ภายใต้เนื้อหนังสะอาดหมดจดของคนผู้นี้มักจะห่อหุ้มด้วยอารมณ์ที่ยากจะแยกแยะความยินดีความโกรธได้ราวกับสวมหน้ากากไว้หนึ่งชั้น
บนหน้ากากสง่างามสุภาพ สูงส่งหยิ่งทะนง ทั่วเมืองหลวงต่างคิดว่าซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นี้เป็นบุรุษสง่าผ่าเผย หญิงสูงศักดิ์ที่รอการแต่งงานอยู่ในเรือนได้ยินชื่อของเขาแล้วไม่มีสักคนที่ไม่หน้าแดงถึงใบหู มีน้อยคนนักที่รู้ว่าภายใต้หน้ากากนี้ เขาเป็นคนที่ดุดันแข็งกร้าวเพียงใด
กับเรื่องมากมายบนโลกนี้ เขาราวกับสามารถมองดูอย่างเย็นชา ไม่สนใจอะไรเลย
ลู่เยี่ยนมองลงไปเบื้องล่างและพูดออกมาทีละคำ “ข้าขอถามเจ้า ก่อนจะยืมเงินได้เขียนหลักฐานลายลักษณ์อักษรหรือไม่”
พอเห็นนางพยักหน้า ลู่เยี่ยนจึงถามอีกว่า “ตามกฎหมายราชวงศ์จิ้น ตอนจัดการข้อขัดแย้งการยืมเงิน สิ่งที่ดูเป็นอันดับแรกก็คือหลักฐานลายลักษณ์อักษร ถ้าหลักฐานประทับตราแล้ว ขอเพียงพวกเขาไม่กระทำการอุกอาจ ทางการก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องได้”
พอฟังถึงตรงนี้ชิงซีก็นึกถึงคำกำชับของคุณหนูตนเองขึ้นมาทันใด จึงรีบพูดว่า “เช่นนั้นถ้ายังไม่ถึงกำหนดพวกเขาก็มาพังร้านเล่าเจ้าคะ บ่าวเคยเห็นหลักฐานแผ่นนั้น บนหลักฐานเขียนไว้ชัดเจนว่าคืนหนี้วันที่สิบ แต่วันนี้เพิ่งวันที่ห้าเท่านั้น”
คุณหนูสามบอกไว้ว่าขอเพียงยึดเรื่องเวลาไม่ปล่อย กุมความผิดของอีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่น เรื่องนี้ทางการต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวแน่นอน
ไม่ผิดไปจากที่คาด ฟังคำพูดนี้จบแล้วสีหน้าของลู่เยี่ยนก็เปลี่ยนเล็กน้อย เขาพูดเสียงเครียดว่า “รู้หรือไม่ว่าการหลอกลวงขุนนางราชสำนักมีจุดจบเช่นใด”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” ชิงซีรีบเอ่ย
หลังจากเขาใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับองครักษ์หลายคน เดินตรงออกจากที่ว่าการไปทันที
ตอนที่ลู่เยี่ยนรุดไปถึงตลาดตะวันตก ตรงจุดหนึ่งบนถนนถูกล้อมจนแน่นขนัด เขาดึงเชือกม้าขึ้นสูงอย่างไม่รีบร้อนแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้า
ลู่เยี่ยนสวมหมวกขุนนาง สวมเครื่องแบบขุนนางสีม่วงเข้ม ป้ายหยกชั้นดีที่ห้อยอยู่ตรงเอวขยับไหวเบาๆ รัศมีที่แผ่จากร่างดูไม่เข้ากับตลาดแห่งนี้เลย
หยางจงรีบช่วยเปิดทางเส้นหนึ่งให้เขา
ลู่เยี่ยนเดินตรงไปข้างหน้า สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือป้ายขวางเหนือประตูที่โยกแทบจะร่วงลงมา บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่สามตัวไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ร้านไป่เซียง’
เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่ไม่เห็นเงาร่างหญิงสาว เห็นเพียงหลงจู๊ร้านแลกเงินสกุลจินขวางอยู่หน้าประตูร้านค้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“คุณหนูสามฉลาดมีไหวพริบ สู้ลงชื่อในสัญญาขายตัวนี้ดีกว่า ท่านถ่วงเวลาผ่านวันที่หนึ่งได้ แต่ไม่อาจถ่วงเวลาผ่านวันที่สิบห้าไปได้* วันนี้คนมาก ก่อเรื่องใหญ่โต สุดท้ายแล้วคนที่เสียหน้าก็คือคุณหนูสามเอง”
คนภายในร้านไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นาน หลงจู๊จินจึงพูดเสียงเล็กเสียงน้อยต่อไปว่า “ท่านไม่ลงชื่อก็ได้ ข้าได้ยินว่าสกุลเสิ่นยังมีบุตรชายอีกหนึ่งคนชื่อเสิ่นหงสินะ อายุน้อยไปสักนิด แต่ก็ยังมีประโยชน์ ตอนนี้ในเมืองฉางอันมีคณะละครอยู่ไม่น้อย เอาไว้ให้เด็กเล็กที่ขาดแขนขาดขาหาเงินแทน คุณหนูสามคิดว่าอย่างไร”
หยางจงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ทนไม่ไหว กระซิบกับลู่เยี่ยนว่า “พวกเราจะช่วยคนหรือไม่ขอรับ”
ลู่เยี่ยนยกมุมปากยิ้ม เอ่ยตอบเสียงเบา “รออีกนิด”
เขาเพียงแค่อยากรู้ คนที่ชาวเมืองทุกคนชื่นชมว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอันได้รับคำข่มขู่เช่นนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร