หยางจงรู้ว่านายของตนเองเกลียดการรบกับเด็กที่สุดจึงรีบช้อนตัวอุ้มเขาขึ้นมาและพูดเสียงเบาว่า “คุณชายน้อย อีกครู่หนึ่งท่านก็จะได้พบพี่สามของท่านแล้ว รอสักครู่เถอะ”
หลังจากหยางจงอุ้มเสิ่นหงไปแล้ว ลู่เยี่ยนก็พาเสิ่นเจินเข้าไปในเรือนหลันเยวี่ย
พอเข้าประตูเขาก็ปล่อยมือนางและจุดตะเกียง จากนั้นพูดเสียงเข้มว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครึ่งหนึ่ง พูดมา”
อาจเป็นเพราะรับราชการมานาน ท่าทีการพูดจึงเป็นไปโดยธรรมชาติ
ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ข้างหลังตัวเขามีเตียงที่ทำจากไม้พะยูงหอมที่ดูน่านอนตัวหนึ่งก็ไม่ส่งผลกระทบต่อคนที่มีความผิดแปลกจากคนทั่วไปอย่างเขาแม้แต่น้อย
เสิ่นเจินกำหมัด ไม่รู้เลยว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไร
ยอมรับผิดหรือ
ความผิดร้ายแรงแบบนี้นางจะยอมรับได้อย่างไร จะเถียงข้างๆ คูๆ ได้หรือ
ถูกเขาจับได้คาหนังคาเขาจะเถียงข้างๆ คูๆ อย่างไรได้
นางขมวดคิ้วครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ทนสายตาเหมือนโบยฟาดใส่นางของเขาไม่ไหวจริงๆ จำต้องพูดเสียงเบาว่า “เรื่องทั้งหมดในคืนนี้ข้าเป็นคนทำทุกอย่าง ข้ายอมรับ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนเหมือนยกมุมปากยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เรื่องทุกอย่างนั้นมีอะไรบ้าง ลองบอกมาสิ”
เสิ่นเจินกัดริมฝีปากตนเอง สองตาแดงแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลลงมา พูดเสียงเบาตอบคำถามของเขา “ติดค้างหนี้ ผิดสัญญา ไม่ยอมชดใช้ กลัวความผิด คิดหลบหนี”
พอถึงตรงนี้นางก็เหมือนกับทุ่มออกไปสุดตัว เอ่ยว่า “ในเมื่อใต้เท้าลู่จับข้าได้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่โต้เถียงอะไรอีก ถึงพรุ่งนี้ท่านก็ส่งข้าให้กับร้านแลกเงินสกุลจินก็แล้วกัน”
ลู่เยี่ยนหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ส่งไปที่ร้านแลกเงินหรือ”
เขาเดินช้าๆ มาถึงข้างกายนาง ยื่นมือเข้าไปในชุดกระโปรงของนาง ค้นทะเบียนเรือนใบหนึ่งออกมาจากข้างหลังนางอย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด
เสิ่นเจินแววตาตื่นตระหนกรีบยื่นมือไปแย่งทันที แต่คนผู้นี้กลับชูขึ้นสูงทันใดไม่ยอมให้นางทำสำเร็จ
เพราะความสูงที่ได้เปรียบ ต่อให้เสิ่นเจินเขย่งปลายเท้าก็ยังคว้าไม่ถึง
ลู่เยี่ยนสะบัดแผ่นกระดาษ คลี่ออกตรงหน้านางแล้วพูดทีละคำว่า “ปลอมแปลงเอกสารทางการอย่างทะเบียนเรือน ลอบวางเพลิง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความผิดสถานใด”
ตอนที่ฟังถึงตรงนี้เสิ่นเจินตื่นตระหนกโดยสิ้นเชิง
ในดวงตากระจ่างสุกใสราวลูกกวางน้อยคู่นั้นเต็มไปด้วยความลนลาน ตรงขมับก็มีเม็ดเหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นมา
ที่แท้เขารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
หากเขาสืบต่อไปอีก อันหมัวมัว พี่ใหญ่ ใครก็คงไม่รอด
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นช้าๆ เหนือหัวของนาง “แค่เรื่องปลอมแปลงเอกสารทางการเรื่องเดียว โทษนี้ก็สามารถตัดสินเนรเทศไปไกลสองพันลี้* ได้แล้ว ถ้านับเรื่องอื่นๆ อีก ฆ่าให้ตายก็ไม่เกินไป”
คร่ำหวอดอยู่ในราชสำนักที่ยากจะคาดเดาอะไรได้มานานหลายปี เขารู้กระจ่างว่าคำพูดอย่างไรจะทำให้คนผู้หนึ่งสติแตกได้
นับประสาอะไรกับหญิงสาวอายุสิบหกปีผู้หนึ่ง
เสิ่นเจินถูกเขาพูดจนตัวอ่อน ในใจว้าวุ่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ น้ำตาคลออยู่ตรงขอบตา