เมิ่งซู่ซีกว่าจะได้พูดคุยกับเขาไม่ง่ายนัก ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสไป “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าลู่พูดว่าภาพวาดของซู่ซีนี้ขาดความงามทางศิลปะไปหลายส่วน ซู่ซีอยากจะขอให้พี่เยี่ยนช่วยชี้แนะสักนิด วันหน้าจะขยันฝึกฝนเพิ่มขึ้นแน่นอน”
ได้ยินคำเรียกว่า ‘พี่เยี่ยน’ ลู่เยี่ยนก็ช้อนตาขึ้นจ้องตรงไปที่นางอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แม่นางเมิ่ง นั่นคือพรสวรรค์ เจ้าคิดว่าความขยันชดเชยความโง่ได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น ความงามทางศิลปะนี้ อาจารย์ชื่อดังจำนวนมากอยากได้ แต่ชั่วชีวิตก็ยังหาไม่ได้”
ลู่เยี่ยนยังคงไว้หน้าแม่นางเมิ่งผู้นี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา การจะพูดจนสตรีผู้หนึ่งอายโกรธจนอยากตายก็ย่อมทำได้
เพิ่งสิ้นเสียงพูดเมิ่งซู่ซีก็มีสีหน้าซีดขาว ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าบึ้งตึง ลู่ถิงของบ้านสามอึดอัดจนรีบยกมือขึ้นลูบหน้า องค์หญิงใหญ่มุมปากกระตุกเบาๆ มีเพียงนกเอี้ยงที่อยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังส่งเสียงร้องอย่างอ่อนล้าสองที
รอบด้านบรรยากาศเย็นเยือก เวินซื่อรีบลุกขึ้นกู้สถานการณ์ “นั่นสิ ถ้าให้ข้าพูดนะ ยายหนูหวังสูงมากเกินไป ฝีมือการวาดนี้น่าดูกว่าลู่เหิงของพวกเรามากไม่ใช่หรือ”
ลู่เหิงมองหน้าเวินซื่ออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง
ลู่เยี่ยนเพิ่งกลับถึงเรือนซู่หนิง องค์หญิงใหญ่จิ้งอันก็ตามมาถึง
“เจ้าเป็นอะไร” องค์หญิงใหญ่จิ้งอันสองแขนกอดอก
ลู่เยี่ยนขมวดหัวคิ้ว คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของตนจะย้ายข้างเร็วแบบนี้
“ท่านแม่อยากให้ข้าแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเมิ่งนั่นหรือ” ลู่เยี่ยนถาม
องค์หญิงใหญ่จิ้งอันช้อนตาขึ้นมองเขา “แม่พูดเมื่อใดว่าจะให้เจ้าแต่งกับนาง แต่ต่อให้ไม่พูดถึงการแต่งงาน นางก็เป็นหลานสาวของอาสะใภ้สามของเจ้า เรียกเจ้าว่าพี่ก็เป็นการสมควร เจ้าต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ” บุตรชายของนางเอง นางรู้จักดีที่สุด
ลู่เยี่ยนปิดปากเงียบไม่พูดจา
องค์หญิงใหญ่จิ้งอันเห็นท่าทางเย็นชาของเขาแล้วความโมโหก็พุ่งมาจากหลายทาง “ทางองค์หญิงฝูอันได้อุ้มหลานชายแล้ว แต่เจ้าดีจริง แต่งงานก็ยังไม่ได้แต่ง แม่ไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร สรุปคือเด็กสกุลเมิ่งนั่นแม่ดูแล้วเห็นว่าไม่เลว ถ้าเป็นไปได้ ปีหน้าก็กำหนดการแต่งงานไว้เลย”
เริ่มแรกลู่เยี่ยนยังมีสีหน้าว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขานึกถึงความฝันประหลาดซ้ำไปซ้ำมานั้นขึ้นมาในทันที
เขาในความฝัน จนถึงตายล้วนไม่มีภรรยาไม่มีบุตร
เขาเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง คิดถึงท่าทางตอนที่นางร้องไห้เจ็บปวดแทบขาดใจหน้าป้ายวิญญาณ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้พูดคำโต้แย้งออกมา เพียงพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะลองดู”
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มอย่างแปลกใจออกมา
ได้คำว่า ‘ลองดู’ จากเขานี้ เห็นได้ว่านางที่เป็นแม่ก็คิดไม่ถึงแล้ว
ลู่เยี่ยนเป็นคนที่พูดแล้วต้องทำ ในเมื่อพูดคำนี้ออกมาแล้วย่อมไม่มีทางเปลี่ยนใจ หลังจากนั้นเขาไม่มีสีหน้าเย็นชากับเมิ่งซู่ซีอีกจริงๆ ทั้งยังมอบภาพวาดให้นางหลายภาพแสดงความเสียใจกับเรื่องวันนั้นอีกด้วย
เมิ่งซู่ซีตื่นเต้นยินดีที่ได้รับความสนใจ คำโบราณว่าไว้ให้ตีเหล็กตอนร้อน สองวันนี้ขอเพียงลู่เยี่ยนกลับจวน นางก็จะเอาภาพอักษรและภาพวาดไปขอคำชี้แนะจากเขาเสียยกใหญ่