เพราะผู้จัดการส่วนตัวกับทนายของเว่ยอิ้งมาทันเวลา ตำรวจจึงไม่กล้าจะเมินเขาอีกและให้เว่ยอิ้งบันทึกปากคำก่อน ในตอนนี้เขาจึงสามารถออกไปได้แล้ว
เว่ยอิ้งรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เขามายืนอยู่ห่างจากลู่จยากับหมิ่นลู่ประมาณหนึ่งเมตร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “ลู่จยา สำหรับ…เรื่องวันนี้ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนั้นมันชุลมุนไปหมด ในหัวฉันก็เลยสับสนไปด้วย ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเธอไว้”
ขณะที่พูดนั้นดวงตาของเว่ยอิ้งก็มองไปยังไม้ค้ำของลู่จยา
ก่อนจะขึ้นรถตำรวจ เฉิงอี้เหิงได้ใช้โทรศัพท์เช่นกัน ไม่นานนักทนายของเขาก็มาถึงสถานีตำรวจและดูเหมือนว่าทนายของเขากับทนายของเว่ยอิ้งจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เฉิงอี้เหิงคุยกับทนายอยู่สักพักจนทนายเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้วเฉิงอี้เหิงจึงไปให้ปากคำต่อโดยมีทนายของเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
ตอนที่เว่ยอิ้งเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่จยาก็เลือนหายไปทันที เธอนั่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดอะไร หมิ่นลู่เห็นท่าทางดูเหมือนคนหมดกำลังใจของลู่จยาก็โมโหขึ้นมา และยิ่งได้เห็นความเสแสร้งแกล้งรู้สึกผิดของเว่ยอิ้งอีกเธอยิ่งโมโหไปใหญ่
หมิ่นลู่ลุกขึ้นยืนแล้วผลักไม้ค้ำยันของลู่จยาไปตรงหน้าเว่ยอิ้ง “มองอะไร รู้ทั้งรู้ว่าขาของลู่จยาเดินไม่สะดวก นายยังจะทิ้งเธอไว้ตรงนั้นอีก!”
เว่ยอิ้งหน้าแดงสลับซีดขาว เขาเป็นคนที่ชอบทำเป็นเท่และยังไม่เคยมีใครไม่ไว้หน้าเขาอย่างนี้มาก่อน แต่คนตรงหน้านี้คือหมิ่นลู่ เขาจึงได้แต่อดทนฟังคำตำหนิอย่างรุนแรงของหมิ่นลู่
“เว่ยอิ้ง ฉันไม่รู้ว่านายคิดยังไง แต่เราทุกคนเป็นเพื่อนกันนะ นายทำแบบนี้ได้ยังไง นี่คงเป็นสันดานของนายล่ะสิ”
เมื่อหมิ่นลู่จยาพูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าของเว่ยอิ้งแข็งทื่อไป
“สันดาน?” เขาเอียงคอแล้วถามกลับไป จากนั้นก็ก้มลงไปเก็บไม้ค้ำของลู่จยาขึ้นมา ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “หมิ่นลู่ ตอนนั้นมันชุลมุนมาก ที่ฉันแสดงออกไปไม่ใช่สันดานแต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง จะว่าไปเธอเองพูดปาวๆ ว่าให้ความสำคัญกับลู่จยา แต่ตอนที่ฉันพาเธอวิ่งออกมา เธอก็วิ่งตามไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่ทิ้งลู่จยาไว้ตรงนั้น”
ปกติเว่ยอิ้งเป็นคนพูดจาไม่ค่อยเกรงใจใคร แต่ยอมอ่อนลงให้หมิ่นลู่มาตลอด ทว่าเวลานี้โดนคำว่า ‘สันดาน’ กระแทกใจจึงประชดออกมาบ้าง
หมิ่นลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอรีบแก้ตัว “นั่นก็เพราะ…”
ถึงพยายามจะอธิบายยังไง แต่หมิ่นลู่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้
เว่ยอิ้งขัดขึ้น “นั่นก็เพราะ…จริงๆ แล้วในใจของเธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับลู่จยาสักเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ หมิ่นลู่ เธอก็รู้ว่าฉันสนใจเธอ แคร์เธอ เวลาคับขันถึงได้ไม่ลืมที่จะดึงมือพาเธอออกมาด้วย”
ประเด็นถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ เว่ยอิ้งก็เปลี่ยนท่าทีและแสดงความในใจออกมาทำเอาคนที่อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ในตอนนี้มีเพียงลู่จยาเท่านั้นที่จะหาทางลงให้กับพวกเขาได้ ลู่จยาดึงมือของหมิ่นลู่ไว้แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ลู่ลู่ช่างมันเถอะ เว่ยอิ้งไม่ได้ตั้งใจหรอก”
ประโยคนี้จุดไฟโทสะในตัวหมิ่นลู่ขึ้นมาได้สำเร็จ เหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้กลยุทธ์ที่จะทะเลาะกับเว่ยอิ้งให้ชนะจึงพูดต่อจากลู่จยา “เขาจะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง! มีเรื่องไหนบ้างที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอชอบเขา เรื่องที่เขามาไล่ตามจีบฉัน หรือเรื่องที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอยังบาดเจ็บอยู่?!”
บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่หมิ่นลู่ใช้ปกป้องตัวเอง เมื่อพูดออกไปแล้วทุกคนต่างก็พากันเงียบสนิท เฉิงอี้เหิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของหมิ่นลู่เช่นกัน
ลู่จยาที่ดวงตาบวมเปล่งมีสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่แล้วแต่แรก ตอนนี้สีหน้าของเธอยิ่งดูไม่ได้ขึ้นไปอีก ทุกคนต่างพากันมองมาที่เธอ ลู่จยาก้มหน้าลง สายตาล่อกแล่ก เธอหันมองไปที่หมิ่นลู่กับเว่ยอิ้งแล้วจึงกระโดดขาเดียวไปหยิบไม้ค้ำของตัวเองขึ้นก่อนจะใช้ไม้ค้ำพยุงตัวโขยกเขยกไปตรงหน้าเฉิงอี้เหิงก่อนจะพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบามากๆ “ไปได้หรือยัง”
เฉิงอี้เหิงกุมมือของเธอไว้ เขาหันกลับไปถามตำรวจ “บันทึกปากคำเรียบร้อยแล้ว ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ”
ตำรวจเห็นท่าทางของลู่จยาดูไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดรวมถึคุยกับพยานและพนักงานร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วด้วย แม้ทั้งสองฝ่ายจะต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ภาพจากกล้องเป็นที่ชัดเจนว่าวัยรุ่นพวกนั้นลงมือก่อน ตำรวจจึงเรียกให้พวกวัยรุ่นมาขอโทษลู่จยา เรื่องจะได้แล้วกันไป
แต่พวกวัยรุ่นกลับไม่ยอมขอโทษ ซ้ำยังหัวเราะเรื่องที่หมิ่นลู่ เว่ยอิ้ง และลู่จยาทะเลาะกันอีกด้วย
“ช่างเถอะ พวกเราไปกันเถอะ” ลู่จยาพูดขึ้น