บทที่สาม
“สะใภ้สี่ ท่านแต่งให้คุณชายสี่แล้ว ยังคงลืมเขาเสียเถิด” ฝูหรงสะกิดนางเบาๆ “สะใภ้สามกำลังจับตามองท่านอยู่”
เลี่ยวจิ้งชูหันหน้ามาด้วยความฉงน “เขาคือใคร”
ฝูหรงเกือบจะกัดลิ้นตนเองขาด เหตุใดข้าลืมไปเสียได้ สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว
“เขาก็คือคุณชายลู่ เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอัครเสนาบดีเหยาภาคภูมิใจ และเป็นแขกประจำของจวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง” เลี่ยวจิ้งชูหรี่ตามอง แววตาคุกคามคน ฝูหรงจึงตอบไปตามตรง “ท่านกับเขา…ถูกคอกัน…มาก” แล้วทำปากยื่นบอก “เขากับจวนกั๋วกงแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน”
“ลูกศิษย์ของอัครเสนาบดีเหยา?”
“อัครเสนาบดีเหยาเป็นบิดาของสะใภ้ใหญ่”
“สะใภ้ใหญ่ถึงกับเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี?” เลี่ยวจิ้งชูอึ้งตะลึง “นางชื่ออะไรหรือ”
มิน่าเล่า สะใภ้ใหญ่ถึงสุขุมเยือกเย็นเพียงนี้ จัดการเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบแหลม สามารถเก็บงำความรู้สึกไม่เผยออกมา ไม่ใช่ท่าทีแบบพานหมิ่นที่พาลพาโลไม่ฟังเหตุผล ที่แท้ก็เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี ไม่รู้พานหมิ่นเป็นบุตรสาวของผู้ใด
“สะใภ้ใหญ่ชื่อเหยาหลัน เป็นบุตรสาวคนรองของภรรยาเอกของท่านอัครเสนาบดีเหยา พี่สาวแม่เดียวกันของนางคือ…” เห็นลู่เซวียนคุกเข่าลง ฝูหรงรีบดึงมือนาง “สะใภ้สี่รีบคารวะตอบเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูโขกศีรษะสามครั้งตอบลู่เซวียนผ่านม่านบางที่กั้นอยู่ นับเป็นการคารวะตอบ
ลู่เซวียนหาได้ลุกขึ้น เขารับเงินกระดาษที่เด็กรับใช้ยื่นส่งให้ ใส่ลงเผาในกระถางดินเผา ท่องบทกวีเสียงดัง
“แสนอนิจจาต่งอ้าย! โชคร้ายจากไปแต่เยาว์วัย! ยามมีชีวิตเป็นอัจฉริยะ จากไปแล้วเป็นวีรบุรุษ ชีวิตคนแสนสั้น”
น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวสะเทือนใจดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่ โถงที่ตั้งศพเงียบสงบลงทันที
เลี่ยวจิ้งชูแอบมองไป ก็สบเข้ากับสายตาของลู่เซวียนที่มองมาพอดี ดวงตาทั้งสองมองประสานกัน ราวมีไฟฟ้าผ่านร่าง เลี่ยวจิ้งชูเนื้อตัวสั่นเทา ความเวทนาสงสารปวดใจและความอบอุ่นจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นในพริบตาที่สบประสานกัน ทำให้นางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยมากเพียงนั้น
ดวงตาที่ลึกล้ำเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกคู่นี้คล้ายคลึงกันมากกับดวงตาของเขาเมื่อชาติก่อน ชั่วขณะนั้นเลี่ยวจิ้งชูรู้สึกว่าคนทั้งห้องโถงที่ตั้งศพต่างได้ยินเสียงหัวใจเต้นของนาง ริ้วแดงค่อยๆ ผุดขึ้นมาที่สองข้างแก้ม
“ฮึ บอกแล้วว่านางเป็นพวกมีนิสัยเหมือนน้ำ!”
เห็นเลี่ยวจิ้งชูกับลู่เซวียนส่งสายตาให้กัน ใบหน้าแดงซ่าน พานหมิ่นก็พูดจากระทบกระเทียบขึ้นมาอีก ต่งซูก็พลอยแค่นเสียงหัวเราะตามมา
“นั่นสิ ปกติเขากับจวนของเราไม่เคยไปมาหาสู่กัน ปีที่แล้วยังแต่งบทกวีถากถางพี่สี่ที่กองอาลักษณ์อยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็แต่งคำไว้อาลัยที่เศร้าสะเทือนใจเช่นนี้ออกมา อยากดึงดูดความสนใจจากใครกัน ผี…”
คำพูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็สบเข้ากับสายตาเยียบเย็นคมกริบของเลี่ยวจิ้งชูเข้า ต่งซูอดเนื้อตัวสั่นไม่ได้ เสียงพลันขาดห้วงหายไปอย่างฉับพลัน
นางนึกได้ว่าต่งอ้ายยังนอนอยู่ที่นั่นอยู่
พานหมิ่นและต่งซูก้มหน้าลง คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าส่งเสียงอยู่แล้ว เห็นทุกคนสงบปากลง เลี่ยวจิ้งชูแอบกัดฟันอยู่เงียบๆ