เลี่ยวจิ้งชูนิ่งอึ้ง หรือว่าในห้วงมิตินี้นอกจากแคว้นหลวนแล้ว ยังมีแคว้นอื่นอีก
“แคว้นหลีอยู่ที่ใด”
เห็นนางแม้แต่เรื่องนี้ก็ลืมแล้ว ฝูหรงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา หันไปรินน้ำชาถ้วยหนึ่งยกมาให้ อธิบายอย่างใจเย็น “มีแม่น้ำหลวนกั้นอยู่ แคว้นหลีอยู่ทางเหนือของแคว้นหลวน” แล้วเสริมขึ้น “ยังมีแคว้นชื่ออีกแคว้นหนึ่ง เป็นแคว้นที่เล็กที่สุดในบรรดาสามแคว้น ตั้งอยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำหลวน เพียงครอบครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อไปถ้าสะใภ้สี่ออกไปข้างนอก อย่าได้พูดออกไปเป็นอันขาดว่ากระทั่งเรื่องนี้ก็จำไม่ได้”
ด้วยกลัวว่านางจะเป็นที่ขบขันต่อหน้าผู้คน ฝูหรงจึงบอกเล่าถึงสภาพการณ์ของแคว้นทั้งสามอย่างมีน้ำอดน้ำทน
แคว้นหลีต่างจากแคว้นหลวน เป็นแคว้นที่นิยมฝึกวรยุทธ์กันอย่างกว้างขวาง นักรบได้รับการยกย่องว่าองอาจห้าวหาญ ในหมู่ชาวบ้านมีคำพูดที่พูดสืบต่อกันมาประโยคหนึ่ง ‘อยู่แคว้นหลีอย่าลงไม้ลงมือ อยู่แคว้นหลวนอย่าเอ่ยปาก’ ความหมายก็คือถ้าท่านไปถึงแคว้นหลีก็อย่าได้มีเรื่องลงไม้ลงมือกับผู้อื่นเด็ดขาด ยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกับท่านไม่ใช่ยอดฝีมือในยุทธภพ เพียงหมัดเดียวก็อาจซัดท่านจนฟันร่วงเต็มพื้น มาถึงแคว้นหลวน ถ้าไม่มีความสามารถติดตัวอยู่บ้าง ก็อย่าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบทกวีโคลงกลอน ที่นั่นเด็กสามขวบก็ขับโคลงกลอนได้แล้ว
แคว้นหลวนยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ที่มีดินและทรัพยากรอุดมสมบูรณ์อยู่เพียงแคว้นเดียว แบ่งเขตการปกครองกับแคว้นหลีที่นิยมฝึกวรยุทธ์โดยมีแม่น้ำเป็นตัวกำหนด สามารถยืนตระหง่านมาได้สองร้อยปีโดยไม่เสื่อมถอย ก็ด้วยอาศัยช่องเขาปากมังกรบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำหลวนที่มีชัยภูมิที่เต็มไปด้วยอันตรายเป็นหลัก สถานที่แห่งนั้นได้รับการเรียนขานว่า ‘หนึ่งคนขวาง ด่านหมื่นคนก็ข้ามผ่านมาไม่ได้’
ที่แท้ที่นี่ถึงกับมีสามแว่นแคว้นด้วยกัน ไม่รู้อีกสองแคว้นเป็นอย่างไร จะให้ความสำคัญกับแพทย์หรือไม่
เลี่ยวจิ้งชูกุมถ้วยชาที่เริ่มเย็นแล้ว ดวงตาสว่างวาบขึ้นดุจดวงดาว
“แล้ว…” นางยื่นถ้วยชาให้ฝูหรง “เพราะเหตุใดเขาต้องหนีออกจากแคว้นหลี”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ สะใภ้สี่ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ฝูหรงสั่นศีรษะ “เขาไม่เพียงเป็นขุนนางทรยศคนหนึ่ง ยังเป็นพวกชอบดื่มสุรามัวเมาในโลกีย์ เป็นแขกประจำของสำนักนางโลมต่างๆ ได้ยินว่าซูชิงเหลียนหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักนางโลมหลิงหลงก็ถูกเขาเหมาตัวมาโดยตลอด บัณฑิตของแคว้นหลวนต่างด่าทอเขา” ฝูหรงหมุนตัวไปเติมน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งพลางยื่นส่งให้ “ท่านสูญเสียความทรงจำแล้ว เขากับคุณชายสามในจวนเรา และสวินเหลียนบุตรชายแม่ทัพใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความหลงระเริง ได้รับการเรียกขานว่า ‘สามเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิง’ ”
เลี่ยวจิ้งชูขมวดคิ้ว
เขาช่วยชีวิตนางไว้ เดิมในใจมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นบุคคลที่แย่เพียงนี้ ในเมื่อต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ออกหน้าให้แล้ว นางไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร
“เขามีประพฤติตนเลวร้ายมากมายเช่นนี้ นายหญิงใหญ่ถึงกับยังรับตัวเขาไว้ ในจวนมีแต่คนบอบบางก็ไม่กลัว?”
“ใครว่าไม่กลัวล่ะเจ้าคะ สะใภ้สามเอะอะโวยวายทุกวันบอกเขาพาคุณชายสามเสียคน จะให้นายหญิงใหญ่ไล่เขาไปเสีย แต่ก็ถูกนายท่านขวางไว้ ดีที่เขาเป็นกระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง ไม่เหมือนคุณชายสาม คนในจวนขอเพียงมีรูปโฉมงดงามอยู่หลายส่วน ถูกเขาพึงพอใจเข้าเป็นต้องไปตอแยด้วย”
“เพราะเหตุใดนายท่านจึงอยากรั้งเขาไว้”
“เห็นบอกให้เขาอยู่สอนวรยุทธ์ให้คุณชายหลายท่าน” ฝูหรงเอ่ยเตือนขึ้น “วันหน้าถ้าท่านเห็นเขากับคุณชายสามจะต้องเดินอ้อมหลบไปเสีย!”