บทที่ห้า
พ้นจากป่าไผ่ พอเงยหน้ามองไปหลวนอวิ๋นชูกับฝูหรงต่างตะลึงงัน
มีสวนดอกไม้อะไรที่ไหน เห็นชัดว่ามาสุดทางแล้ว กำแพงต่ำเตี้ยสีแดงล้อมรอบขวางทางไป สันกำแพงคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวอมดำ ด้านล่างแกะลายเมฆลายมังกรน้ำ สร้างไว้อย่างประณีตงดงามยิ่ง ถ้ามองจากที่ไกลคล้ายมังกรสีเขียวอมดำตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ ทำหน้าที่เฝ้าระมัดระวังปกป้องนายที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ นอกกำแพงมีต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน บางครั้งก็ยื่นข้ามกำแพงเข้าไปแอบดูดวงหน้าคนงามที่อยู่ในกำแพง
อีกฝั่งของกำแพงคือที่ไหน คงไม่ใช่ถนนใหญ่เมืองหลวนเฉิงกระมัง
ถ้าข้ามกำแพงที่กั้นขวางอยู่นี้ไปได้ ก็อาจจะหนีออกจากจวนกั๋วกงไปได้ใช่หรือไม่ ริ้วแดงจางๆ ผุดขึ้นสองข้างแก้มของหลวนอวิ๋นชู
เห็นหลวนอวิ๋นชูมีท่าทีงงงัน ฝูหรงจึงกล่าวขึ้น “ที่นี่บ่าวก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
“เจ้าไม่ใช่บอกว่าข้ามาจวนกั๋วกงอยู่เสมอหรือ” หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวไปมองนาง “เหตุใดจึงไม่เคยมา”
“เป็นเพราะเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายสี่” ฝูหรงมองหลวนอวิ๋นชูแปลกๆ “ท่านพยายามหลบเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา ก่อนแต่งงานไม่เคยย่างเหยียบมาที่เรือนลู่ย่วนเลยเจ้าค่ะ”
หลวนอวิ๋นชูได้แต่ยิ้ม ช่างโง่งมยิ่งนัก!
คนอื่นนินทาไม่กี่คำจะเป็นไรไป ความสุขชั่วชีวิตของตนจึงจะเป็นของจริง
“เกิดอะไรขึ้น” สี่จวี๋ที่เร่งตามมาทีหลังก็งงงัน หันไปถามซิ่วเอ๋อร์ “เจ้าไม่ใช่บอกด้านหลังมีสวนดอกไม้หรอกหรือ”
ซิ่วเอ๋อร์กำลังหอบหายใจ เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผากพลางบอก
“อยู่ในกำแพง ข้างหน้ามีประตูวงเดือนประตูหนึ่ง สะใภ้สี่ตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
มองตามนิ้วมือซิ่วเอ๋อร์ไป เป็นเช่นที่นางพูด ด้านหน้าไม่ไกลนักมีประตูวงเดือนทรงโค้งเล็กๆ อยู่ประตูหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในเงารุบรู่ของต้นไผ่ ถ้าไม่มองอย่างละเอียดก็จะหาไม่เจอ
“อย่างไรเล่า สวนดอกไม้นี้ไม่ใช่ของเรือนลู่ย่วนหรือ” สี่หลันมองซิ่วเอ๋อร์ด้วยความฉงน “ไฉนถึงกับใช้กำแพงล้อมรอบกั้นไว้”
“เป็นของเรือนลู่ย่วนน่ะสิ ข้าก็ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อก่อนพี่สี่หลันไม่ได้อยู่ที่เรือนนี้ ต่อให้เป็นคนในเรือนนี้ เกรงว่าก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าด้านหลังป่าไผ่มีสวนดอกไม้อยู่ ต่างเข้าใจว่าเลยจากป่าไผ่ไปแล้วก็เป็นที่อื่น”
ว่าแล้วซิ่วเอ๋อร์ก็พาทุกคนมาถึงหน้าประตูวงเดือน ยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามที เปิดปากเรียก
“ลุงใบ้เปิดประตู ข้าคือซิ่วเอ๋อร์”
หลวนอวิ๋นชูในใจรู้สึกแปลกใจ “ข้างในยังมีคนอยู่?”
“เรียนสะใภ้สี่ ในสวนดอกไม้มีคนสวนคอยดูแลต้นไม้ดอกไม้อยู่ประจำในนั้นคนหนึ่ง เพราะเป็นคนใบ้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าลุงใบ้ บ่าวเองเพราะต้องมาส่งอาหารจึงได้รู้จักที่นี่”
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ประตูเล็กถูกเปิดออกจากด้านใน มีบุรุษอายุราวสี่สิบ ผิวดำเกรียม รูปร่างผอมสูง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเลี่ยมฝังไว้ด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมทอประกายเฉียบคมทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่ชื่นชอบคู่หนึ่ง พอเห็นซิ่วเอ๋อร์ก็แสยะปากยิ้ม เผยฟันเหลืองเต็มปากออกมา ดูน่ากลัวยิ่ง หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดขึ้นมาได้ นางเคยดูบัญชีรายชื่อคนในเรือนลู่ย่วน ดูเหมือนจะไม่มีคนผู้นี้
ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ เช่นนั้นเบี้ยรายเดือนกับค่าใช้จ่ายของลุงใบ้ผู้นี้ใครเป็นคนรับผิดชอบ สวนดอกไม้มีไว้ให้คนมาเที่ยวชม ต่งอ้ายทำสวนดอกไม้ไว้ที่เรือนด้านหลัง แต่กลับไม่ให้คนเข้า เช่นนั้นสร้างขึ้นมาทำอะไร ในสวนดอกไม้แห่งนี้ซุกซ่อนความลับใดไว้
พอเห็นหลวนอวิ๋นชูกับคนอื่นๆ รอยยิ้มของลุงใบ้ก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า จากนั้นก็กางมือหยาบใหญ่ทั้งสองข้างขึ้น ทำมือทำไม้ใส่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยท่าทางโกรธโมโห ปากก็ส่งเสียงอือๆ อาๆ
ที่แท้เขาหาใช่คนใบ้แต่กำเนิด หากแต่ถูกตัดลิ้นออกไป หลวนอวิ๋นชูรับรู้ได้ว่ามือที่ประคองนางอยู่กำลังสั่นระริกจึงหันไปมอง ฝูหรงตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว ชำเลืองตาไปทางด้านหลัง สี่จวี๋สี่หลันก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ไหนเลยยังจะส่งเสียงออกมาได้