หลวนอวิ๋นชูกลับแอบนึกเสียใจที่ให้รางวัลบุ่มบ่ามเกินไป ลุงใบ้ผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแค่เศษเงินเล็กน้อย แต่ก็จนใจยิ่งนัก เพราะนางเองก็เป็นคนยากจนคนหนึ่ง
เก็บท่าทางกลืนไม่เข้า คายไม่ออกบนใบหน้า หลวนอวิ๋นชูกำลังจะเอ่ยลา กลับเห็นลุงใบ้ทำมือทำไม้ขึ้นมาอีก
“ลุงใบ้บอกว่าพอสะใภ้สี่ออกไปแล้วอย่าได้พูดเป็นอันขาดว่าที่นี่ปลูกสมุนไพร เพียงบอกว่าเป็นสวนดอกไม้ก็พอ นี่เป็นคำสั่งของคุณชายสี่ตอนยังมีชีวิตอยู่”
ฟังคำอธิบายของซิ่วเอ๋อร์แล้ว หลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่างทันที พลันนึกขึ้นมาได้ ถ้านางเปลี่ยนตัวซิ่วเอ๋อร์ออกไป ต่อไปใครจะช่วยแกะภาษามือของลุงใบ้ให้นาง
“เรื่องนี้ลุงใบ้โปรดวางใจ” นางกล่าวอย่างลังเล “ลุงใบ้…เขียนหนังสือได้หรือไม่”
ยังต้องถามด้วยหรือ คนสวนที่ต่ำต้อยผู้หนึ่งจะเขียนหนังสือเป็นได้อย่างไร
ไม่ได้เตรียมการไว้ว่าหลวนอวิ๋นชูจะถามเรื่องนี้ ฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์ต่างหน้าแดง ลำบากใจแทนลุงใบ้
งงงันอยู่ชั่วขณะลุงใบ้ก็แสยะปากยิ้มแล้วพยักหน้าให้นาง อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในดวงตาปรากฏแววอ่อนโยนมีเมตตาออกมา
เขียนหนังสือได้ก็ดี ถึงให้ซิ่วเอ๋อร์ออกไป การสื่อสารกันในวันหน้าก็ไม่มีอุปสรรค
หลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มสดใสดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ สมุนไพรที่มีอยู่เต็มสวนแห่งนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นของในกระเป๋าของนาง
สี่จวี๋สี่หลันนั่งอยู่บนม้าหินกำลังเด็ดใบหญ้ากันอยู่ ที่ปลายเท้ามีหญ้าสามใบกระจัดกระจายอยู่กองเล็กๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น หลวนอวิ๋นชูมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ทั้งสองจึงรีบโยนใบไม้ทิ้ง ลุกขึ้นมารับหน้า สี่จวี๋ยื่นมือมาหาหลวนอวิ๋นชู ยิ้มแล้วเอ่ยถาม
“ข้างในปลูกดอกไม้อะไรหรือเจ้าคะ สะใภ้สี่เข้าไปเดินเที่ยวเล่นนานเพียงนี้ ปล่อยให้บ่าวรออยู่นานทีเดียว”
ฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์อดรู้สึกผิดไม่ได้ ในสวนมีแต่สมุนไพรแปลกประหลาด พูดไม่ได้ว่าสวยงาม แต่ลุงใบ้บอกไว้ พวกนางย่อมไม่กล้าพูดส่งเดช แต่ในเรือนลู่ย่วนนี้สี่จวี๋เพียงอยู่ใต้หลวนอวิ๋นชูคนเดียว จึงไม่กล้าโกหกนาง ได้แต่ส่งสายตามองไปที่หลวนอวิ๋นชูไม่หยุด
“แต่ละวันข้าไม่ได้ออกไปไหน เดิมยังเข้าใจว่าต้นไม้เพิ่งแตกหน่อเสียอีก” ขณะเดินไปหลวนอวิ๋นชูก็เอ่ยออกมาอย่างไม่เผยพิรุธใดๆ “คิดไม่ถึงว่าดอกไม้ต้นหญ้าจะสูงครึ่งฉื่อแล้ว”
“ไม่เหมือนภาคเหนือ ทางภาคใต้อากาศอบอุ่น ต้นไม้ใบหญ้าจะเจริญเติบโตเร็ว” สี่จวี๋หัวเราะพรืด “บ่าวได้ยินว่าทางเหนือในเวลานี้ยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลยเจ้าค่ะ”
พูดคุยหัวเราะกันไปมาจนออกจากป่าไผ่ ช้อนสายตามองไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลวนอวิ๋นชูพบว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปเท่าไรมีประตูข้างบานหนึ่ง จึงชี้พลางเอ่ยถาม
“ประตูนี้ออกไปที่ใด ตอนออกมาเหตุใดจึงไม่เห็น”
สี่หลันกล่าวยิ้มๆ “ไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนเจ้าค่ะ นี่เป็นด้านตะวันตก พวกเรามาจากทางตะวันออก”
ทะเลสาบลั่วเยี่ยน?!
นั่นก็คือทะเลสาบที่บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค ‘ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก’ แห่งนั้น
“ไม่ได้อยู่นอกจวนหรอกหรือ” หลวนอวิ๋นชูออกจะฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดจึงอยู่ติดกับเรือนในโดยตรง”
“สะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว ทะเลสาบลั่วเยี่ยนก็เป็นส่วนหนึ่งของด้านในจวน” เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง สี่หลันก็แก้ไขคำพูดใหม่ “ความจริงก็ไม่นับเป็นด้านในจวน”
ฝูหรงโต้แย้งขึ้น “ไม่ใช่ด้านในจวน? เหตุใดจึงมีทางไปจากเรือนของเรา!”
สี่หลันหน้าแดงขึ้นทันที กำลังจะเถียงสี่จวี๋ก็ดึงนางไว้แล้วกล่าวยิ้มๆ
“เจ้าเพิ่งจะเข้าจวนมา อาจยังไม่เข้าใจ ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบลั่วเยี่ยนก็คือเรือนซิงซู่ ไม่นับเป็นด้านในจวนจริงๆ ประตูนี้ตอนคุณชายสี่ยังอยู่ ต้องการความสะดวก จึงดึงดันจะเจาะประตู ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนายหญิงใหญ่ยังสั่งแล้วสั่งอีกให้ปิดตายไปเสีย”
“เรือนซิงซู่เป็นสถานที่ใดหรือ” เห็นหน้าผากหลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อซึมออกมา ฝูหรงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับให้นาง
“เป็นสถานที่ที่เหล่าที่ปรึกษาพักอาศัยเจ้าค่ะ…ตำนานบอกว่าบุคคลที่มีคุณธรรมและความปรีชาสามารถล้วนเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าจุติลงมาเพื่อจะดึงดูดผู้มีคุณธรรมปัญญา นายท่านจึงตั้งใจให้ชื่อว่า ‘ซิงซู่’ ที่มีความหมายว่ากลุ่มดาว ประหนึ่งว่าเป็นที่สำหรับรวบรวมคุณธรรม” สี่จวี๋กล่าว
“อ้อ…”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ ในตำนานว่าไว้เช่นนั้นจริง อาทิดาวเหวินฉวี่ก็เป็นกลุ่มดาวที่ทำหน้าที่ควบคุมดวงชะตาด้านอักษรศาสตร์ เล่าลือกันว่าคนที่เขียนความเรียงได้ดีและมีตำแหน่งสูงล้วนเป็นดาวเหวินฉวี่จุติลงมา เช่นอีอิ่นอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ซางปี่กานเทพแห่งโชคลาภฟ่านจ้งเยียนขุนนางสมัยราชวงศ์ซ่งเปาเจิ่ง บุคคลเหล่านี้ล้วนได้รับการพูดถึงว่าเป็นดาวเหวินฉวี่มาแต่เกิด
หลวนอวิ๋นชูมองไปที่ประตูข้างบานนั้นด้วยสีหน้าอมยิ้ม ในดวงตามีประกายสว่างวาบดุจดวงดาว
ถ้าได้รู้จักที่ปรึกษาที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนสักหลายคน แผนการออกจากจวนของนางไยมิใช่มีโอกาสประสบความสำเร็จเพิ่มอีกส่วนหนึ่งหรือไร