หลวนอวิ๋นชูย่นหัวคิ้ว
จนจะตกงานแล้ว ไม่มีเงินสวัสดิการเลิกจ้างก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะหักเงินรายเดือน แล้วจะให้พวกนางใช้ชีวิตอย่างไรรึ จะอย่างไรหลวนอวิ๋นชูก็เป็นคนในสมัยปัจจุบัน เมื่อเห็นลวี่จูนั่งแปะอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว นางก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา
“สาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งจะมีเงินรายเดือนสักกี่มากน้อย หักขึ้นมาก็ไม่คุ้มกับความยุ่งยาก อีกอย่างจะถูกให้ออกจากงานแล้ว ข้าว่าก็แล้วกันไปเถิด” เห็นพ่อบ้านเฮ่อไม่พูด หลวนอวิ๋นชูจึงกล่าวเสริมขึ้น “หรือไม่พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกกับนายหญิงใหญ่เอง”
“นี่…”
เหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องปรับลวี่จูให้ทำงานโดยไม่ได้ค่าแรงอยู่ในจวนหลายปี นั่นเป็นเงินหลายร้อยตำลึงทีเดียว หาไม่ของในจวนแห่งนี้ไยมิใช่ถูกพวกบ่าวไพร่ทำแตกหมดหรือ พ่อบ้านเฮ่อที่เดิมคิดจะพูดสักสองคำ แต่เมื่อมองสบดวงตาที่น่าเกรงขามของหลวนอวิ๋นชู เสียงพลันหยุดชะงัก ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้เกิดความขลาดกลัวขุมหนึ่งขึ้นมา
นี่ไหนเลยจะเป็นการปรึกษาหารือ เห็นชัดว่าไม่อนุญาตให้ตั้งข้อสงสัย!
เรียนนายหญิงใหญ่หรือ เงินทำศพซิ่วเอ๋อร์เกินเกณฑ์ไปเพียงนั้นยังไม่ใช่แล้วกันไปหรือไร คิดมาถึงตรงนี้ พ่อบ้านเฮ่อก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง นอกจากต่งเหรินแล้ว จวนกั๋วกงก็มีลูกล้างลูกผลาญเพิ่มมาอีกคน ยังดีสะใภ้สี่ที่มือเติบผู้นี้ไม่ได้ดูแลบ้าน
“เรื่องของเรือนลู่ย่วน สะใภ้สี่ตัดสินใจเองก็ได้” พ่อบ้านเฮ่อไม่ได้คิดอะไรต่อ ตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวเพียงเกรงว่าท่านจะไม่รู้ถึงธรรมเนียมปฏิบัติ ถูกบ่าวไพร่หลอกลวง จึงได้พูดมากไปหลายประโยค สะใภ้สี่มีเมตตาโอบอ้อมอารี เห็นใจบ่าวไพร่ ก็เป็นบุญวาสนาของสาวใช้ผู้นี้”
“อืม เช่นนั้นก็จัดการตามนั้น” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะด้วยความพอใจ กวาดตามองห้องโถงที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ “พ่อบ้านเฮ่อกลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป”
พูดพลางหลวนอวิ๋นชูมองฝูหรงแวบหนึ่ง ฝูหรงก็หยิบเงินก้อนหนึ่งมอบให้เป็นสินน้ำใจ
“เจ้าก็รั้งอยู่ที่เรือนเถิด ไม่ต้องตามไปแล้ว”
เห็นสี่หลันจัดแจงเดินตามถึงข้างเกี้ยว เลิกม่านขึ้นให้ตนอย่างกระตือรือร้น หลวนอวิ๋นชูใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกไป
การเลือกสาวใช้ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ หลวนอวิ๋นชูถึงกับหลบเลี่ยงนาง
ภายใต้ความงงงันสี่หลันมีสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมผุดขึ้นมาทันที ขอบตาก็แดงเรื่อ นางเป็นคนโปรดข้างกายนายหญิงใหญ่ อยู่ที่เรือนลู่ย่วนแห่งนี้ก็เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่อันดับหนึ่ง
“เจ้าก็อย่าคิดไปมากมาย เดิมข้าคิดจะพาเจ้าไปด้วย จะได้ช่วยข้าออกความเห็น” หลวนอวิ๋นชูตบๆ บ่าสี่หลันแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้าก็เห็น เรื่องเปลี่ยนบ่าวไพร่รู้ไปทั่วเรือนลู่ย่วนแล้ว ข้าเป็นห่วงว่าพวกเราหลายคนไปกันหมด คนเหล่านี้จะเอะอะโวยวายขึ้นมา ไม่แน่อาจก่อเรื่องอะไรขึ้น นายหญิงใหญ่ก็จะพูดว่าข้าทำให้บ่าวไพร่เชื่อถือไม่ได้” นางมองฝูหรงแวบหนึ่ง “ข้าก็มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่อาจกดข่มพวกเขาไว้ได้ อย่างน้อยเจ้าก็เคยอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่มาก่อน สามารถควบคุมพวกเขาได้”
คำพูดนี้ของหลวนอวิ๋นชูพูดได้ค่อนข้างถ่อมตัว แต่ก็เป็นความจริง สี่หลันพลันดีใจขึ้นมา ก็บอกแล้ว ยามคับขันขึ้นมายังต้องเป็นนางกับสี่จวี๋ ฝูหรงมีคุณสมบัติอะไรกันเล่า
เด็กคนนี้หลอกง่ายเสียจริง!
เห็นสี่หลันรับปากอย่างว่องไว มุมปากของหลวนอวิ๋นชูก็หยักโค้งขึ้น นางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้สี่หลันสี่จวี๋ได้เข้าใกล้บ่าวไพร่กลุ่มใหม่
คนใหม่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนสายตรงที่นางจะพึ่งพาอาศัยในการใช้ชีวิตอยู่ที่จวนกั๋วกงแห่งนี้ ไม่อาจให้สี่หลันสี่จวี๋มาควบคุมเด็ดขาด
เกี้ยวหลังเล็กแกว่งไกวไปมาราวกับเปล หลวนอวิ๋นชูหลับตาเอนพิงอยู่ข้างใน ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอกอย่างเลอะๆ เลือนๆ พลันลุกขึ้นมานั่งตัวตรง หลวนอวิ๋นชูร้องออกไป
“หยุดเกี้ยว!”
“สะใภ้สี่” ฝูหรงเลิกม่านขึ้น “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้างหน้าคือที่ใด เหตุใดจึงหนวกหูเช่นนี้”