“เส้นทางวกวนก็อยู่ที่ตรงนี้ ฝูหรงอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าค่อยๆ เล่า” สี่จวี๋ทำสีหน้าท่าทางชวนให้น่าสงสัยยิ่ง “แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นี้รูปร่างหน้าตาเฉลียวฉลาดน่ารักน่าเอ็นดู เดิมคุณชายสามรับปากจะให้เป็นอี๋เหนียง แต่พอกลับมาบอกสะใภ้สามก็โวยวายใหญ่โตขึ้นมาทันที เรื่องไปถึงนายท่านกับนายหญิงใหญ่ นายท่านเห็นคุณชายสามรับอี๋เหนียงไว้หกคนแล้ว แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นี้มาจากครอบครัวที่ยากจน ฐานะไม่ทัดเทียมคู่ควร จึงไม่รับปาก เพียงบอกถ้าคุณชายสามอยากรับไว้ก็ให้เป็นสาวใช้ห้องข้าง”
“แล้วแม่นางเชี่ยนอวิ๋นก็ยอมหรือ”ฝูหรงถาม
“คิดว่าคงเห็นว่าเรื่องสำเร็จแล้ว ทั้งละโมบในความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของจวนกั๋วกง นางถึงกับตกลงแล้ว วันที่รับตัวเข้ามาได้พาไปให้นายหญิงใหญ่ดูตัว แต่นายหญิงใหญ่กลับบอกว่าด้วยรูปโฉมและความสามารถของนาง แม้แต่ย่าของชาวบ้านธรรมดายังทำได้…” ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่านางก็เป็นสาวงามที่ยั่วยวนเสน่ห์คนหนึ่ง นับแต่เข้ามาอยู่ก็ทำให้คุณชายสามลุ่มหลงมัวเมาจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เพียงหมางเมินอี๋เหนียงทั้งหลาย แม้แต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่กำหนดไว้ว่าต้องมาที่ห้องสะใภ้สามก็ยกเลิก แต่ละห้องที่เดิมแย่งชิงหึงหวงกัน ทุกวันต้องเอะอะโวยวายจนเดือดร้อนกระทั่งไก่กระทั่งสุนัขช่วงนี้กลับพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ได้ยินคำพูดนี้จางหมัวมัวก็ชี้ไปข้างหน้า “นี่ไม่ใช่เอะอะโวยวายขึ้นมาอีกแล้วหรือ”
“นี่เพราะเรื่องถูกเปิดโปงแล้ว” สี่จวี๋มองซ้ายมองขวา ก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง เสียงยิ่งเบาลง “ไม่ทราบอี๋เหนียงคนใดแอบไปสืบมาถึงรู้ว่านางถึงกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น ถูกคุณชายสามไถ่ตัวมา เพราะกลัวจะถูกตรวจสอบพบ ไม่กล้ามอบฐานะที่เอิกเกริกให้ ถึงได้ซื้อฐานะใหม่ว่าเป็นครอบครัวที่ยากจน คาดไม่ถึงว่ายังมีพิรุธ ถูกตรวจสอบออกมา”
“บรรพบุรุษของข้า! แม้แต่คนของสำนักนางโลมก็กล้ารับเข้ามาไว้ในจวน นายหญิงใหญ่ทราบเรื่อง ไยมิใช่ต้องถูกถลกหนังหรือ”
จางหมัวมัวตาเบิกกว้าง นางอยู่ในจวนมานาน รู้ธรรมเนียมปฏิบัติดี ตอนคุณชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่เคยหลงรักหญิงนางโลมคนหนึ่ง ไถ่ตัวออกมาแล้วแอบเลี้ยงดูไว้นอกจวน ไม่รู้อย่างไรถูกนายหญิงใหญ่รู้เรื่องเข้า ฉวยโอกาสตอนคุณชายใหญ่ไม่อยู่ในเมืองหลวนเฉิง พาคนไปด้วยตนเอง ลงมือทุบตีอย่างหนักเหลือเพียงครึ่งชีวิต คืนที่คุณชายใหญ่กลับมาก็สิ้นลม นี่ยังไม่พูดถึงว่าคุณชายใหญ่ยังถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชน สุดท้ายเป็นสะใภ้ใหญ่ที่ปวดใจ ไปวิงวอนขอความเมตตาต่อนายหญิงใหญ่ ถึงได้ถูกปล่อยกลับมา ต่งเหรินผู้นี้ขวัญกล้ายิ่งนัก ถึงกับพาคนเข้ามาอยู่ในจวนอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ต้องการชีวิตแล้วจริงๆ
จางหมัวมัวเพิ่งถามจบ ป้าสวี่หญิงรับใช้สูงวัยที่หามเกี้ยวอีกคนก็ขยับเข้ามาใกล้
“สวรรค์ สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น! สถานที่แห่งนั้นแม้บ่าวจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินคนพูดถึง มีชื่อเสียงคู่กันมากับสำนักนางโลมหลิงหลง ค่าตัวหญิงสาวที่อยู่ที่นั่นสูงจนน่าตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงอันดับหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงสาวธรรมดา เงินค่าไถ่ตัวก็ต้องนับร้อยนับพัน คุณชายสามเอาเงินมาจากไหน แล้วยังเอาไปซื้อฐานะอีกด้วย”
“นั่นสิ บ่าวเคยได้ยินอิ๋งชุนบอก คุณชายสามวันๆ สำมะเลเทเมา ติดหนี้ติดสินมากมาย” ฝูหรงก็พยักหน้าตาม “ที่หยิบยืมไปล้วนเป็นของส่วนกลาง ถูกสะใภ้ใหญ่รายงานไปที่นายท่าน ถูกด่าอยู่พักใหญ่ แต่ก็แล้วกันไป เพียงไม่ให้เขาหยิบยืมอีก ครั้งนี้ไปเอาเงินจากไหนมาอีก”
“เรื่องพวกนี้เพียงปิดบังนายหญิงใหญ่ไว้เท่านั้น หาไม่คงเกิดเรื่องไปนานแล้ว นายหญิงใหญ่ดูแลจัดการบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องความเที่ยงธรรมที่สุด พวกท่านคอยดูไปเถอะ เรื่องนี้ช้าเร็วต้องเป็นมูลเหตุของหายนะ” พูดแล้วสี่จวี๋ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทว่า…ไถ่ตัวแม่นางเชี่ยนอวิ๋นในครั้งนี้ คุณชายสามไม่ได้ใช้เงินของในจวนจริง ได้ยินว่าคุณชายเจียงออกให้”
“คนเสเพลผู้นั้นอีกแล้ว” ฝูหรงแค่นเสียงเย็นชา “มีเขาอยู่ด้วยต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”
พูดถึงเจียงเสียน หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงตุ๊กตาหยกเหลืองที่เขามอบให้ต่งกั๋วกงและงาช้างแกะสลักที่มอบให้เรือนลู่ย่วนเหล่านั้น ไม่ว่าชิ้นไหนล้วนมูลค่าสูงลิ่ว ในเมื่อมีเงินมากเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปก่อตั้งบ้านเรือนของตนเอง กลับสมัครใจมอบกายถวายชีวิตให้จวนกั๋วกง
หัวคิ้วขยับเข้าหากัน เจียงเสียนผู้นี้นับเป็นปริศนาอย่างหนึ่ง
ขณะกำลังคิดก็ได้ยินป้าสวี่ถามด้วยความฉงน
“รู้ว่าแม่นางเชี่ยนอวิ๋นเป็นหญิงนางโลม เหตุใดสะใภ้สามจึงไม่รายงานนายหญิงใหญ่ กลับมาหาเรื่องปวดหัวอยู่ในเรือนชิ่นย่วนเช่นนี้”
รายงานนายหญิงใหญ่แล้ว ฉู่เชี่ยนอวิ๋นไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง ไม่อาจอยู่ในเรือนชิ่นย่วนได้อีกแล้ว นอกจากนี้ยังไม่อาจโยนความผิดให้พานหมิ่น ต่งเหรินก็เพียงแค้นอี๋เหนียงผู้นั้นที่สืบเรื่องฐานะของฉู่เชี่ยนอวิ๋นออกมา กล่าวสำหรับพานหมิ่นแล้วเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
เรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งเช่นนี้ เหตุใดพานหมิ่นกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
หลวนอวิ๋นชูก็กำลังสงสัย เห็นหญิงรับใช้สูงวัยถามจึงมองไปที่สี่จวี๋
สี่จวี๋ยิ้มแล้วบอก
“ถ้านางคิดเช่นนั้นก็ไม่ใช่สะใภ้สามแล้ว ยังจะปล่อยให้เรือนชิ่นย่วนวุ่นวายโกลาหลทุกวันหรือ”
ทุกคนต่างหัวเราะกันครืนใหญ่ ฝูหรงมองไปที่ด้านหน้า หยุดหัวเราะแล้วถามขึ้น
“แล้ว…เพราะเหตุใดจึงได้เอะอะโวยวายกันขึ้นมาเล่า”
(ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม เดือน สิงหาคม 2564)