เด็กสาวผู้นี้ยืนอยู่ข้างเฉิงชิงเสวี่ยมาโดยตลอด เห็นหลวนอวิ๋นชูถามไปถามมากลับไม่เคยมองนางแม้แต่แวบเดียวจึงกระสับกระส่ายร้อนใจ อยากจะเคลื่อนไหวอยู่นานแล้ว ทั้งวิชาความรู้ของนาง รูปร่างหน้าตาของนางนับว่าสูงสุดในบรรดาเด็กสาวเหล่านี้ ก่อนมาหลี่หวาก็เตือนนาง สะใภ้สี่จะซื้อสาวใช้รุ่นใหญ่ประจำตัวคนหนึ่ง สะใภ้สี่ผู้นี้เป็นบัณฑิตหญิง จะต้องชอบคนที่เขียนกลอนแต่งบทกวีได้ ให้นางมีไหวพริบสักหน่อย อย่าพลาดโอกาสไปเป็นอันขาด
ตอนนี้เห็นว่าในที่สุดก็ถามถึงเรื่องบทกวีแล้ว แม้จะไม่ใช่ถามนาง แต่นางกลัวมากว่าจะพลาดโอกาสไปจึงรีบแย่งตอบ คิดจะกระตุ้นความสนใจจากหลวนอวิ๋นชู ไม่ผิดจากที่คาด คำพูดกังวานใสประโยคเดียวเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกคนได้สำเร็จ พ่อบ้านเฮ่อกับสี่จวี๋กวาดตาขึ้นลงมองประเมินเด็กสาวผู้นี้ ต่างคลี่ยิ้มออกมา
ไม่เลว นางหนูผู้นี้มีไหวพริบมากพอ รู้จักพูดในเวลาที่เหมาะสม
หลวนอวิ๋นชูกลับรู้สึกไม่พอใจเท่าไร
ยังไม่ได้บอกจะซื้อตัวนางเลย ก็แทนตนเองว่า ‘บ่าว’ แล้ว!
เขียนกลอนแต่งบทกวีได้แล้วอย่างไร เจ้าเข้าใจว่าจะเลือกสาวงามหรือ
เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ชอบใจ หลี่หวาก็แสร้งทำเป็นโมโหบอก
“รีบหยุดปาก สะใภ้สี่ไม่ได้ถามเจ้า ห้ามพูดแทรกขึ้นมา กระทั่งมารยาทก็ลืมแล้วหรือ”
“บ่าวรู้ตัวว่าผิดแล้ว! สะใภ้สี่โปรดอย่าตำหนิ บ่าวไม่กล้าทำอีกแล้ว” ปากก็กล่าวยอมรับผิดไม่หยุด ใบหน้ากลับไม่มีแววสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กสาวมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเลื่อมใสศรัทธา “บ่าวชอบบทกวีของสะใภ้สี่มากที่สุด ตั้งแต่เล็กก็เคารพเลื่อมใสท่าน! ท่องบทกวีของท่านทุกวัน วันนี้พอได้พบท่านก็ตื่นเต้นจนลืมหมดสิ้นทุกอย่าง”
“นางหนูผู้นี้ชื่อสวีฟาง อายุสิบห้า” หลี่หวาไม่พลาดโอกาสที่จะเอ่ยแนะนำ “บรรพบุรุษก็เป็นตระกูลที่เรียนหนังสือมาหลายชั่วคน ภายหลังตกต่ำลง มาถึงรุ่นบิดาของนางทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษไม่มีเหลือแล้ว มารดาของนางหลังคลอดน้องชายก็ป่วยเรื้อรัง วันๆ ประคองแต่กระปุกยา คนทั้งบ้านก็ต้องกินข้าว ถึงได้ส่งตัวนางมาที่ข้า…”
“ฐานะทางครอบครัวเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้บุตรสาวเรียนหนังสือได้”
คำพูดนี้ทำให้ฝูหรงนึกถึงแม่นางเชี่ยนอวิ๋น สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น เด็กสาวผู้นี้คงไม่ใช่เติบโตอยู่ในสำนักนางโลมเช่นกันกระมัง
“มารดาของนางเป็นคนสอนให้” หลี่หวามองสวีฟางด้วยความเห็นใจในเคราะห์กรรมของนาง “มารดาของนางถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เล็กก็ชื่นชอบบทกวีโคลงกลอน ได้รู้จักกับบิดาของนางในงานชุมนุมบทกวี พอเห็นก็เลื่อมใสศรัทธา ไม่คิดว่าถึงกับเป็นบัณฑิตยากไร้ พอครอบครัวไม่เห็นดีด้วยจึงหนีตามกันไป” ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “เฮ้อ…เวรกรรมแท้ๆ! นับแต่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เข้าออกชุมนุมกวี เวลานี้จิตใจคนก็ไม่เหมือนแต่ก่อน สังคมเสื่อมโทรมลงทุกวัน”
พูดมาถึงตรงนี้พลันคิดได้ว่าหลวนอวิ๋นชูได้รางวัลชนะเลิศในงานชุมนุมบทกวีติดต่อกันถึงสามปี หลี่หวารีบหยุดประเด็นสนทนาทันที มองนางแล้วยิ้มเจื่อน
หลวนอวิ๋นชูคล้ายไม่เห็นท่าทางกลืนไม่เข้า คายไม่ออกของหลี่หวา กวาดสายตาขึ้นลงมองประเมินสวีฟางหลายครั้ง ผงกศีรษะน้อยๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ หลี่หวาเองก็ลอบระบายลมหายใจ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผาก เดินตามติดไปข้างหลัง
เดินๆ หยุดๆ หลี่หวาผู้นี้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและเป็นคนสายตาดี ขอเพียงหลวนอวิ๋นชูมีท่าทีสนใจคนไหนเพียงเล็กน้อย นางก็จะรีบแนะนำทันที
ดีที่หลี่หวาความจำดี เห็นนางรู้จักภูมิหลังและตระกูลของเด็กสาวเหล่านี้ดีราวกับนับสมบัติในบ้านของตน หลวนอวิ๋นชูก็อดเลื่อมใสไม่ได้ ลำพังความใส่ใจเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปยากจะทำได้ มิน่านางถึงได้เป็นผู้นำ เป็นหัวมังกรของกลุ่มค้าทาส
ฟังไปก็ผงกศีรษะไป บางครั้งก็หยุดถามสองสามประโยค แต่กลับไม่ได้หยุดอยู่นาน ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เดินหมดแถวสุดท้าย หลวนอวิ๋นชูเหนื่อยแล้ว นางเกาะแขนฝูหรงเดินช้าๆ มานั่งลงที่ด้านหน้า ยื่นมือไปรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้ เปิดฝาถ้วยแล้วเป่าเบาๆ ก้มลงดื่มไปหลายคำ
เห็นนางนั่งลงแล้ว พ่อบ้านเฮ่อก็เชิญหลี่หวานั่งลงยังที่นั่งแขก สั่งสาวใช้ยกน้ำชามาให้