“ชิงเสวี่ยเป็นนักโทษทางการที่ถูกสักตัวอักษร สำมะโนครัวหรือหนังสือหลักฐานต่างๆ ถูกเพิกถอนไปหมดแล้ว ไม่มีเจ้านายนำพา ไปถึงไหนก็ต้องถูกสอบสวนซักถาม กระทั่งโรงเตี๊ยมร้านอาหาร ด้วยกลัวจะส่งผลกระทบต่อการทำการค้า ล้วนไม่ให้คนเช่นพวกเราเข้าไป แคว้นหลี…ยิ่งกลับไปไม่ได้แล้ว”
หลวนอวิ๋นชูก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว หน้าผากของเฉิงชิงเสวี่ยถูกสักตัวอักษรไว้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผ่านด่าน แม้แต่กินข้าวพักโรงเตี๊ยมก็ต้องถูกสอบสวน ไม่ก็ขอดู ‘หลักฐานประจำตัว’ ต่อให้มีวรยุทธ์ติดตัว เกรงว่าก็คงครั้งนี้หนีรอดไปได้ ครั้งหน้าก็หนีไม่รอด คิดจะข้ามผ่านด่านแล้วด่านเล่าหนีกลับบ้านเกิดเมืองนอน พูดได้คำเดียวว่า ‘ยาก’
“เจ้ารู้หนังสือหรือไม่”
“สะใภ้สี่หมายถึงภาษาหลวนหรือภาษาหลีเจ้าคะ”
ภาษาหลวนหรือภาษาหลี?
หรือว่าตัวอักษรของสองแคว้นนี้ไม่เหมือนกัน
หลวนอวิ๋นชูอึ้งตะลึง เรื่องนี้นางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ในใจนึกสงสัย ปากกลับไม่ได้ถามออกไป เพียงมองเฉิงชิงเสวี่ยไม่พูดอะไร
“สอนเจ้าไว้ว่าอย่างไร ปกติไหวพริบเฉียบไว พอถึงช่วงสำคัญกลับเชื่องช้าเสียแล้ว!” หลี่หวาเข้าใจว่าหลวนอวิ๋นชูไม่พอใจจึงกล่าวตำหนิ “ยังต้องถามด้วยหรือ สะใภ้สี่ไม่เคยไปแคว้นหลี ที่ถามย่อมหมายถึงภาษาหลวน!” จากนั้นก็หันมายิ้มให้หลวนอวิ๋นชู “สะใภ้สี่ท่านอย่าได้ขบขัน ล้วนแต่เป็นพวกเด็กๆ เห็นท่านถามละเอียดก็อาจจะตื่นเต้น นางเติบโตในแคว้นหลี รู้ภาษาหลวนไม่มาก พอกล้อมแกล้มอ่านชื่อตนเองได้เท่านั้น”
“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า สายตาเบนไปทางอื่น
หลี่หวาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามไปด้วย
“สะใภ้สี่ท่านอย่าได้ดูเบา นางแม้จะรู้หนังสือไม่มาก แต่คนยังนับว่ามีไหวพริบ ขยันขันแข็ง จิตใจก็ดี เพียงดูจากรูปร่างก็แข็งแรงกว่าหญิงสาวทั่วไปแล้ว ติดแค่สูงไปสักหน่อย มองดูแล้วสูงโดดเด่น แต่…ท่านรับไว้ให้อยู่เรือนด้านหลัง หาบน้ำ กวาดลานเรือนอะไรก็ได้ เป็นสาวใช้ใช้แรงงาน เรียกได้ว่าคนเดียวทำงานเท่ากับสองคน”
ลอบชำเลืองมองสีหน้าหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง หลี่หวาก็พูดอย่างเปิดเผยจริงใจ
“ขอบอกกับท่านอย่างไม่ปิดบัง นางหนูผู้นี้อยู่กับข้ามาสามเดือนกว่าแล้ว พานางไปพบลูกค้ามาหลายราย ทุกคนพอเห็นรอยสักบนหน้าผากของนางต่างก็ส่ายหน้า เดิมทีก็คิดจะทำเหมือนคนอื่น ขายต่อให้เจ้าอื่นไป ขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ แต่ประการแรกนางหนูผู้นี้ขยันขันแข็ง ทั้งรู้จักอ่านสายตาข้า ประการที่สอง ข้าก็สงสารนางที่โชคชะตาอาภัพ…อยู่กับข้า ข้ารู้จักลูกค้ามาก ย่อมมีโอกาสที่จะได้อยู่บ้านที่มีฐานะมีหน้ามีตาสักหน่อย ดีกว่าถูกขายไปสถานที่ไม่ดีจนถูกย่ำยี”
สายตาเบนกลับไปที่เฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง หลวนอวิ๋นชูนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร
หัวคิ้วขยับเล็กน้อย หลี่หวาบอกอย่างเด็ดขาด
“ข้าเห็นท่านก็มีเจตนาจะรับนางไว้ เอาอย่างนี้ ถ้าท่านคิดจะรับนางไว้ด้วยความจริงใจ ข้าก็ไม่เอาค่ากินอยู่กับกำไรแล้ว ท่านจ่ายทุนคืนให้ข้าก็พอ ถือเสียว่าข้าสงสารนางหนูผู้นี้ ท่านเพียงดีต่อนาง ให้ข้าวนางกิน อย่าให้คนข่มเหงนางจนเกินไปก็พอ!” แล้วบอก “ค่าตัวของนางเดิมก็ไม่สูง ตอนข้าซื้อนางมาก็จ่ายไปเพียงห้าตำลึง ไม่พอให้ท่านกินอาหารดีๆ มื้อหนึ่งเสียด้วยซ้ำ สะใภ้สี่ ท่านว่า…”