ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 108
ช่วงพลบค่ำวันถัดมา ภายในคุกของศาลต้าหลี่
ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวกับหลูจ้าวอันที่อยู่ในห้องขังว่า “ข้าพายายเฒ่าหวังมาให้เจ้าแล้ว”
หลูจ้าวอันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พอมองเห็นยายเฒ่าหวังที่ถูกมัดแน่นด้านหลังลิ่นเฉิงโย่ว ดวงตาก็เผย ‘ความเสน่หาอันร้อนแรง’ ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ดูเหมือนเขาก็ผงะด้วยความตกใจ มองไปทางลิ่นเฉิงโย่วอย่างตื่นตะลึง ริมฝีปากขยับพึมพำคล้ายกำลังถามว่า ‘เจ้าทำอะไรข้า’
ลิ่นเฉิงโย่วยืนกอดอก “เจ้าฉลาดนักไม่ใช่หรือ เพียงเท่านี้ยังมองไม่ออกอีก ข้าเจอหนอนกู่ห่อหนึ่งจากช่องลับในห้องเจ้า เมื่อวานยังไม่รู้วิธีใช้แน่ชัด มาวันนี้ลองทดสอบกับตัวเจ้าดู ตอนนี้นางในดวงใจเจ้าคือยายเฒ่าหวัง ดังนั้นในใจเจ้าจะคิดถึงนางตลอดเวลา ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเจอนาง จึงพานางมาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว”
หลูจ้าวอันพลันเบิกตาโพลง ยายเฒ่าหวังก็เหมือนจะใจลอยไปแล้ว หน้ากากแปลงโฉมบนหน้านางถูกลิ่นเฉิงโย่วฉีกไปแล้วเรียบร้อย เผยให้เห็นรูปลักษณ์เดิมของนาง ดูแล้วอย่างน้อยอายุประมาณห้าสิบกว่าปี ทั้งยังมีใบหน้าดำคล้ำ ดวงตารูปสามเหลี่ยมแลดูโหดร้าย
หลูจ้าวอันดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรง ท่าทางราวกับแทบอยากจะเอาศีรษะชนผนังห้องขังให้ตายไปเสีย ถึงกระนั้นแววตาที่มองแฉลบผ่านร่างยายเฒ่าหวังก็เปลี่ยนเป็นหลงใหลอีกครั้ง
ลิ่นเฉิงโย่วปั้นสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับไม่รู้เรื่องอันใด “หนอนกู่แสนรู้ เห็นผลลัพธ์ทันตาเชียว เป็นอย่างไร เห็นหน้ายายเฒ่าหวังก็ดีใจขึ้นมาเลยใช่หรือไม่”
หลูจ้าวอันพยายามสุดกำลังไม่ให้สายตาเหลียวมองยายเฒ่าหวัง แต่จับจ้องมองไปยังลิ่นเฉิงโย่ว สีหน้าแค้นเคืองนั้นบ่งบอกความเข้าใจกระจ่างแจ้ง ‘ลิ่นเฉิงโย่ว บุรุษฆ่าได้หยามไม่ได้ เจ้าฆ่าข้าในดาบเดียวไปเสียเถอะ’
ลิ่นเฉิงโย่วลากยายเฒ่าหวังมายังเครื่องลงทัณฑ์ ทำท่าจะลงไม้ลงมือกับยายเฒ่าผู้นี้
หลูจ้าวอันหน้าเปลี่ยนสีไปในพริบตา ประหนึ่งมองเห็นคนที่รักสุดหัวใจได้รับความไม่เป็นธรรม ถึงกับคลานเข่ามาถึงหน้ากรงขัง ‘อย่าแตะต้องนาง อยากถามอะไรมาถามข้านี่’ และแล้วก็เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว จึงชี้หน้าลิ่นเฉิงโย่วอย่างเดือดดาล ‘เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี’
ลิ่นเฉิงโย่วยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เขากับเถิงอวี้อี้ช่วยกันคิดออกมาในคืนนั้น
ไร้คุณธรรมเสียไม่มี
แต่จะจัดการกับคนถ่อยต่ำช้าพรรค์นี้ การลงทัณฑ์ทั่วไปไม่ทำให้เจ็บให้คันได้หรอก ต้องทำให้หลูจ้าวอันลิ้มรสชาติการโดนหนอนกู่ควบคุมจิตใจเสียเองเท่านั้นถึงนับว่าเป็นการโดนหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
“พูดมา วิญญาณคุณชายหูจี้เจินถูกเจ้ากับสหายช่วงชิงไปใช่หรือไม่” ลิ่นเฉิงโย่วสวมเครื่องลงทัณฑ์ให้ยายเฒ่าหวังอย่างไม่รีบร้อน
ยายเฒ่าหวังประสบการณ์โชกโชนไม่กลัวการลงทัณฑ์ ประโยคนี้ย่อมเอ่ยถามหลูจ้าวอัน
หลูจ้าวอันยังคงปิดปากเงียบ ทว่าแววตาไม่อาจซ่อนความเจ็บปวดลึกๆ และความวิตกกังวลได้
ลิ่นเฉิงโย่วถอยมาอยู่ข้างๆ โบกมือให้เจ้าหน้าที่เริ่มการลงทัณฑ์ พอเห็นว่ายายเฒ่าหวังจะต้องทรมานไม่น้อยหลูจ้าวอันจึงหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ‘ข้าพูดแล้ว’
เจ้าหน้าที่ศาลแต่ละคนซึ่งยืนห่างออกไปไกลต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน ผ่านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยายเฒ่าหวังหรือว่าหลูจ้าวอันเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปริปาก คิดไม่ถึงว่าถูกเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นวางอุบายครู่เดียวจิตใจกลับสั่นคลอนขึ้นมาแล้ว
ลิ่นเฉิงโย่วส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่หยุดมือ ก่อนเดินเข้าไปในห้องขังแล้วกระชากเศษผ้าในปากหลูจ้าวอันออกมา “ผู้บงการเบื้องหลังคือใคร”
หลูจ้าวอันไม่ได้ตอบกลับมาทันที แต่มองไปยังยายเฒ่าหวังด้วยความสงสารไม่สิ้นสุด
ลิ่นเฉิงโย่วอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้
แม้แต่ยายเฒ่าหวังเองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ จึงปิดเปลือกตาแน่นสนิท ปฏิเสธไม่ยอมสบสายตาหลูจ้าวอัน ชัดเจนว่าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้นางเต็มใจรับทัณฑ์ทรมานดีกว่า
บรรดาเจ้าหน้าที่ข่มกลั้นไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา กลอุบายนี้ของเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ดูท่าว่าจะได้ผลดีเยี่ยม
หลูจ้าวอันถลึงตามองลิ่นเฉิงโย่วอย่างแค้นเคือง “ขอเพียงเจ้าไม่แตะต้องนาง ข้าจะพูดหมดทุกอย่าง”
ลิ่นเฉิงโย่วรอให้ความรู้สึกขนลุกนั่นจางหายไปถึงได้ยิ้มแย้มพร้อมพยักหน้า “ได้ ข้าจะไม่แตะต้องนาง”
หลูจ้าวอันนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หลังข้ามาถึงฉางอันก็มีสตรีที่ชื่อเอ้อจีติดต่อกับข้ามาตลอด แต่ข้าไม่รู้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร เพราะหลายเรื่องมีเอ้อจีออกหน้ามาบอกให้ข้าทำ”
ลิ่นเฉิงโย่วตะลึงงัน ถึงแม้เขาจะสงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าเอ้อจีเป็นพวกเดียวกับจิ้งเฉินซือไท่ แต่ไม่คิดว่าคนที่รับผิดชอบติดต่อหลูจ้าวอันจะเป็นนางนี่เอง
“เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”
“ปีที่แล้วก่อนออกเดินทางมาฉางอันบัณฑิตชื่อหวังจิ่วเอินผู้หนึ่งในหยางโจวมาหาข้า ข้ารู้วิชามารอยู่บ้าง หนอนกู่คะนึงหาเขาก็เป็นคนมอบให้ข้าเมื่อสองสามปีก่อน ปกติเขาจะช่วยเหลือข้าเล็กๆ น้อยๆ เรื่องเงินทอง เป็นคนจริงใจโอบอ้อมอารี ดังนั้นทั้งที่ข้ารู้ว่าเขามีปัญหาก็ยังไปมาหาสู่กับเขาบ่อยครั้ง หวังจิ่วเอินบอกว่าด้วยวิชาความรู้ของข้า เดินทางไปคราวนี้จะต้องสอบได้อันดับต้นๆ แน่ ทว่าการจะเข้าสู่เส้นทางขุนนาง การสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อเป็นเพียงก้าวแรก หากอยากให้หน้าที่การงานก้าวหน้ารวดเร็วจะขาดการสานสัมพันธ์กับผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงบางคนไปไม่ได้ ข้าเชื่อฟังคำแนะนำของเขา พอมาถึงฉางอันก็ไปหาเอ้อจีที่ผิงคังฟาง ถึงพบว่านางเป็นแม่เล้าในหอคณิกาแห่งหนึ่ง”
ขณะหลูจ้าวอันตอบคำถามก็เหลือบมองยายเฒ่าหวังที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเป็นระยะ สีหน้านางบิดเบี้ยวแปลกพิกล ประเดี๋ยวรังเกียจ ประเดี๋ยวรักใคร่ลึกซึ้ง
“เอ้อจีเคยบอกกับเจ้าหรือไม่ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร”
หลูจ้าวอันส่ายหน้า “ตอนข้ายังไม่ได้สอบจิ้นซื่อเอ้อจีเย็นชากับข้ามาก หลังได้ยินว่าข้าคว้าอันดับหนึ่งมาครอง อยู่ๆ ก็กระตือรือร้นกับข้าขึ้นมา เป็นฝ่ายมอบเงินทองให้ข้า ยังบอกว่าข้ามีความสามารถจะได้เป็นถึงอัครเสนาบดี ข้าฟังคำพูดคำจาของนางแล้วดูไม่น่าเป็นหญิงคณิกาเลยจริงๆ จึงเอ่ยถามนางว่ามีที่มาเช่นไรกันแน่ นางบอกว่าถึงเวลาที่ควรรู้ย่อมได้รู้เอง และบอกอีกว่าหากอยากสอบผ่านจื้อจวี่เพียงวิชาความรู้ยังไม่พอ จำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อใช้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาในราชสำนักด้วย ทว่าตราบใดที่ข้าเชื่อฟังนางเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย ต่อมานางยังแนะนำให้ข้ารู้จักกับยายเฒ่าหวัง บอกว่าหากนางไม่สะดวกออกหน้าจะให้ข้าติดต่อกับยายเฒ่าหวังแทน”
ลิ่นเฉิงโย่วหลุบตาลงครุ่นคิด ท่าทางผู้บงการเบื้องหลังผู้นี้อย่างน้อยคงต้องรู้จักขุนนางกรมปกครองหรือสำนักตรวจราชการ
“เจ้าเคยพบกับจิ้งเฉินซือไท่บ้างหรือไม่ รู้หรือไม่ว่านางกับเอ้อจีเป็นพวกเดียวกัน”
“ข้าไม่เคยพบนาง ที่ผ่านมาคนที่ติดต่อกับข้ามีเพียงเอ้อจีกับยายเฒ่าหวัง ยิ่งกว่านั้นนับตั้งแต่ข้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ผู้มีความรู้ความสามารถในเมืองฉางอันที่ยินดีคบหากับข้าก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เอ้อจีกับยายเฒ่าหวังก็ยิ่งหว่านล้อมผูกมัดข้า”