วันรุ่งขึ้นได้ยินว่าอู่เซียงฟื้นแล้ว เพียงแต่สติยังเลอะเลือนกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย นักพรตชิงซวีจื่อบอกว่าวิญญาณออกจากร่างนานเกินไป แก่นวิญญาณจึงได้รับความเสียหายอยู่บ้าง หากจะให้จดจำคนข้างกายได้ครบทุกคนอย่างน้อยต้องใช้เวลาสองสามเดือน
พอตู้ถิงหลันรู้ข่าวนี้ก็นัดหมายเถิงอวี้อี้ไปเยี่ยมเยียนอู่เซียงที่จวนสกุลอู่ในวันนั้นทันที
ในห้องของอู่เซียงมีสหายร่วมเรียนมารวมตัวกันแน่นขนัดอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนกำลังกระซิบพูดคุยเป็นเพื่อนอู่เซียง
อู่เซียงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงราวกับท่อนไม้ เมื่อเห็นสหายหลายคนแสดงความห่วงใยนางก็เผยรอยยิ้มที่ว่างเปล่าออกมาเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามแววตานางยังเฉื่อยชา มิหนำซ้ำยังเรียกชื่อสหายไม่ได้เลยสักคนเดียว
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกับนาง หากนางไม่ได้เหม่อลอยไร้จุดหมาย ก็หันหน้าไปมาด้วยความสงสัยคล้ายกำลังตามหาอะไรบางอย่าง
เติ้งเหวยหลี่กับหลิ่วซื่อเหนียงถามอู่เซียงเสียงนุ่มนวล “มองหาอะไรอยู่ หรือว่าอยากจะกินอะไรแล้ว”
อู่เซียงเผยอปากเล็กน้อย พยายามพูดออกมาว่า “อา…อาฉี่เล่า”
สหายทั้งหลายหันมองหน้ากันแล้วเงียบเสียงลง
ท่ามกลางความเงียบที่แผ่ปกคลุม เติ้งเหวยหลี่เม้มปากอย่างขมขื่น ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “เจ้าอุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวันแล้ว ไม่อย่างนั้นออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ วันมะรืนนี้เป็นวันเกิดของท่านปู่ข้า มาเที่ยวเล่นบ้านพวกเราดีกว่า”
อู่เซียงคลี่ยิ้มอย่างโง่งม “อ้อ”
เหล่าสหายยิ้มแย้มตามไปด้วย บรรยากาศในห้องคึกคักอีกครั้ง
ผ่านไปประเดี๋ยวหนึ่งเติ้งเหวยหลี่ก็ดึงเถิงอวี้อี้ออกมาคุยนอกห้อง “ปีนี้เจ้าเพิ่งกลับมาฉางอัน ปีที่แล้วๆ มาไม่เคยเล่นสนุกกับพวกเราให้เต็มที่ ข้าตกลงกับทุกคนเอาไว้เรียบร้อย ครั้งนี้เจ้าคือแขกคนสำคัญ วันมะรืนนี้บ้านข้าจัดงานเลี้ยง เจ้ามาที่บ้านข้าเร็วสักหน่อยนะ”
เถิงอวี้อี้หรี่ตามองเติ้งเหวยหลี่ “เจ้าคิดจะอู้งานใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าขี้เกียจยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก ดื่มสุราสิถึงเป็นทางถนัดของข้า การละเล่นวงสุรากับการตระเตรียมรายการเจ้าไปหาคนอื่นดีกว่า”
สหายรอบข้างอดหัวเราะไม่ได้ เติ้งเหวยหลี่หยิกแก้มเถิงอวี้อี้ “พวกเจ้าดูสิ ก็มีเพียงนางผู้นี้ที่กล้าพูดอย่างเปิดเผยว่าตนเองขี้เกียจ ปกติเจ้าจะหนีงานก็ช่าง แต่คืนนี้เจ้าต้องมาช่วยข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไปเอาเรื่องเจ้าแน่ อย่างไรข้าก็พูดกับเจ้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาเร็วสักหน่อย จะได้ช่วยข้ารับแขก”
เวลาล่วงเลยมาสองวัน เถิงอวี้อี้อยู่ในจวนแต่งกายอย่างงดงาม พอเห็นว่าสายมากแล้วก็นัดญาติผู้พี่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนสกุลเติ้ง
บรรดาสาวใช้นำทางสองพี่น้องไปหาเติ้งเหวยหลี่ที่เรือนในอย่างกระตือรือร้น พอสอบถามถึงรู้ว่าพวกนางมาถึงงานเป็นลำดับแรก เติ้งเหวยหลี่ยังสางผมแต่งตัวอยู่ในห้อง ได้ยินว่าพวกนางมาแล้วก็ดีใจแทบแย่ วิ่งมาต้อนรับถึงระเบียงทางเดินด้วยตนเอง
บรรยากาศภายในจวนสกุลเติ้งเหมือนกับเติ้งซื่อจงไม่มีผิด ตั้งแต่เบื้องบนถึงเบื้องล่างล้วนคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง พูดจาฉะฉานชัดเจน
คืนนี้สกุลเติ้งแขกเหรื่อมาเยือนแน่นจวน ในสวนดอกไม้มองเห็นเงาร่างอรชรในชุดหรูหรางดงามดั่งอาภรณ์เซียน เถิงอวี้อี้ถูกสหายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการเล่นหมากซวงลู่* จู่ๆ สัมผัสได้ว่ากระบี่เสี่ยวหยาร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อเหลือบมองกระดิ่งเสวียนอินกลับพบว่าเงียบสนิทไม่สั่นไหว นางมีข้อกังขาในใจมากมาย จึงอาศัยข้ออ้างว่าจะไปห้องสุขาปลีกตัวออกจากห้องโถงบุปผา
พอเดินออกมาแล้วนางก็ชะเง้อมองไปรอบกาย เห็นตวนฝูยังติดตามอยู่ด้านหลังไกลๆ ถึงค่อยรู้สึกวางใจ แล้วเดินตรงไปยังด้านหลังภูเขาจำลองที่เงียบสงัดที่สุดมุมหนึ่งในสวนดอกไม้ หมายจะให้เสี่ยวหยาออกมาจากกระบี่ ไม่คาดคิดว่ากระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือจะส่งเสียงดังกะทันหัน นางตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน เตรียมจะชักกระบี่ออกมา อยู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ กล่าวกับนางเสียงแผ่วเบา
“มานี่”
“ซื่อจื่อ?”
คนทั้งสองมาแอบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เถิงอวี้อี้เงยหน้าจ้องมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายดอกสายน้ำผึ้ง แววตาเป็นประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงสว่างเหนือศีรษะ ภายนอกมองดูเปล่งปลั่งมีสง่าราศี เรียกได้ว่ามีความงามเป็นเลิศ
“เก็บกระบี่กลับไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วตั้งสมาธิมั่นรับฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ แล้วกระซิบบอกเถิงอวี้อี้
เถิงอวี้อี้ทำตามที่เขาบอก ค่อยเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ เมื่อครู่แถวนี้มีสิ่งชั่วร้ายใช่หรือไม่”
“มีปีศาจร้ายตนหนึ่งผ่านมาน่ะ แต่ถูกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “จริงสิ ในเมื่อเจ้ากับข้ามาเจอกันที่นี่แล้ว ก็ไม่ต้องให้คนอื่นไปแจ้งข่าวเจ้าที่จวนสกุลเถิงอีก พรุ่งนี้ข้าจะออกนอกเมืองไปจับฉื่อคั่ว เจ้าจะตามไปด้วยหรือไม่”
“ไปสิ” เถิงอวี้อี้ดวงตาวาววับ “ในเมืองไม่มีผีชางแล้วหรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วพลั้งปากตอบไปว่า “จะเอาผีชางมาจากที่ใดเยอะแยะปานนั้น ครั้งก่อนกว่าจะเรียกมาหลายสิบตนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็ถูกเจ้ากำจัดไปเกลี้ยงแล้ว”
พอกล่าวจบเขาก็ชะงักไป ในใจแอบร่ำร้องว่าท่าจะไม่ดีแล้ว พูดเช่นนี้มิเท่ากับบอกไปตรงๆ หรือว่าผีชางฝูงนั้นเมื่อครั้งก่อนเป็นเขาที่เตรียมไว้เอง