ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 34
“เป้าจู?”
เป้าจูสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาในพริบตา แต่ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางมองไปทางอิงเถาอบแห้งบนโต๊ะจานนั้น “ข้าน้อยนึกออกแล้ว ครั้งนั้นเถ้าแก่ให้ข้าน้อยไปส่งยาให้แม่นางเก๋อจิน เคาะประตูแล้วไม่ได้ยินเสียงขานรับ ข้าน้อยก็เลยต้องไปหาชิงจือ เพิ่งเดินเข้าประตูก็เห็นชิงจือกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ พอนางเห็นข้าน้อยเดินเข้ามาก็รีบร้อนยัดห่อของสิ่งนั้นกลับไปใต้หมอน สุดท้ายไม่ระวังทำร่วงลงพื้น ข้าน้อยเห็นว่าเป็นอิงเถาอบแห้งห่อหนึ่งจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ ของห่อนั้นดูเหมือนจะหนักอึ้ง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายเก็บของจำพวกปิ่นปักผมและต่างหูเอาไว้ ชิงจือวุ่นกับการยัดของเข้าใต้หมอนพร้อมบอกว่า ‘ข้าพบคนรู้จักเก่าแก่ผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นให้อิงเถาอบแห้งห่อนี้มา ข้าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก คงไม่อาจแบ่งให้พี่สาวกินได้’ ”
“คนรู้จักเก่าแก่? นางบอกหรือไม่ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี”
“ไม่ได้บอก ตอนนั้นชิงจือท่าทางลนลานมาก รีบร้อนจนจะผลักไสข้าน้อยออกไป”
“เจ้าสงสัยว่าชิงจือเอาของบางสิ่งซ่อนไว้ใต้กองอิงเถา?”
เป้าจูผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้ต่อให้มีใครพบเห็นเข้า ก็คิดเพียงว่านางแอบกินอะไรอยู่ ถ้าไม่ได้ทำร่วงลงพื้น ข้าน้อยก็คงไม่รู้สึกว่ามีพิรุธอะไร”
“ซ่อนเอาไว้สักเท่าใดกัน”
“คิดว่าด้านบนคงมีแค่อิงเถาอบแห้งทับไว้ชั้นหนึ่ง ข้างใต้ล้วนเป็นของจำพวกไข่มุกและหยกเจ้าค่ะ”
เถิงอวี้อี้ลอบขมวดคิ้วมุ่น มิน่าเล่าลิ่นเฉิงโย่วถึงได้ไปสืบเบาะแสที่ร้านผลไม้กับร้านเครื่องประดับ อย่างนี้สิน่าสนใจขึ้นมาแล้ว สาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่งจะมีเครื่องประดับมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ขโมยมาหรือว่าผู้อื่นให้มา? เก๋อจินมักแบ่งผลไม้กับอาหารให้กินก็แล้วไปเถอะ นี่ยังแบ่งเครื่องประดับมีค่าให้สาวใช้ด้วยหรือไร
ในตอนนี้เองจู่ๆ ข้างนอกมีเสียงคนเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหวัง คุณชายหวัง?”
ลุงเฉิงเดินไปเปิดประตู เฮ่อหมิงเซิงพลันชะโงกใบหน้ายิ้มแย้มเข้ามา “คุณชายหวัง ข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อมีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”
เถิงอวี้อี้แปลกใจเล็กน้อย “เรื่องอันใดหรือ”
เฮ่อหมิงเซิงเผยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า “ซื่อจื่ออยากให้เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีไปปรนนิบัติ”
เถิงอวี้อี้นิ่งงันไปชั่วขณะ “หากจำไม่ผิด ซื่อจื่อเรียกแม่นางไปกว่าสิบคนในคราวเดียวแล้ว เพราะเหตุใดถึงยังไม่พอใจอีก”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไอแห้งๆ แทบอยากจะแทรกตัวหายไปในรอยแยกบนพื้น
เฮ่อหมิงเซิงถอนหายใจ “คุณชายหวังอาจไม่ทราบ บุรุษหนุ่มแน่นเช่นนี้ ครั้งแรกมักหุนหันพลันแล่นเกินไปสักหน่อยทั้งนั้น ซื่อจื่อบอกว่าอยากเลือกคนที่มีทุกแง่มุมตรงกับที่ใจต้องการ กลัวว่าจะเลือกกันจนตาลาย ถึงได้อยากชมดูไปทีละคนในที่รโหฐาน พอได้ยินว่าหญิงคณิกาหน้าตาสะสวยในหอหลายคนยังไม่ยอมไป ก็สั่งข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อให้มาเชิญด้วยตนเอง”
เถิงอวี้อี้เอ่ยว่า “เขาจะเรียกคนทั้งหอไปก็ไม่เป็นไร แต่ข้าตกลงกับเอ้อต้าเหนียงไว้แล้ว ตอนนี้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูเป็นคนของข้า ข้าไม่เห็นด้วยหากพวกนางต้องไปปรนนิบัติผู้ใด ให้ซื่อจื่อไปหาคนอื่นแทนเถอะ”
เฮ่อหมิงเซิงเงยหน้าขึ้นปาดเหงื่อ “คุณชายหวัง เรื่องนี้ต้องโทษข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อที่โง่เขลาไม่รู้ความ ก่อนอื่นข้าน้อยต้องขออภัยท่านด้วย ทางซื่อจื่อยืนกรานว่าต้องการคนไปให้ได้ บอกว่าหากภายในครึ่งชั่วยามไม่ส่งคนไป จะมาเอาเรื่องกับข้าน้อย หลายวันมานี้ข้าน้อยยุ่งจนหัวหมุนไปหมด แทบจะแบกรับความกดดันไม่ไหวแล้ว คุณชายหวัง ขอแค่ท่านยอมปล่อยคน จะให้ข้าน้อยขออภัยอย่างไรก็ได้ ของที่เอ้อจีรับมาเป็นการส่วนตัวข้าน้อยจะคืนให้คุณชายหวังครบตามจำนวน เช่นนี้เป็นอย่างไร”
เถิงอวี้อี้เหลือบมองเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูแวบหนึ่ง พวกนางสองคนก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรสักคำ คิดว่าคงไม่ยินยอมให้ถูกเรียกไปปรนนิบัติบุรุษ เพียงแต่เถ้าแก่มาเรียกคนด้วยตนเองเช่นนี้พวกนางคงกล้าโกรธไม่กล้าเอ่ยปากกระมัง
เถิงอวี้อี้หาใช่ผู้มีใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ทว่านางรับรองความปลอดภัยของพวกนางสองคนไว้แล้ว นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน จะปล่อยให้ทั้งสองถูกทำลายคามือลิ่นเฉิงโย่วได้อย่างไร
นางแย้มยิ้มเอ่ย “พูดจาน่าสงสารจริงเชียว เถ้าแก่เฮ่อฐานะมั่งคั่งร่ำรวย ย่อมไม่เห็นลูกปัดแก้วสองเม็ดอยู่ในสายตาแน่ วันนี้หากเจ้ากล้าคืนลูกปัดของข้า พรุ่งนี้ข้าจะให้คนปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป ทำให้ผู้คนรู้กันทั่วว่าเถ้าแก่หอไฉ่เฟิ่งพูดจากลับกลอก ดูซิว่าวันหน้าผู้ใดยังกล้ามาค้าขายกับเจ้าอีก”
เฮ่อหมิงเซิงส่งเสียงโอดครวญ “สวรรค์! นี่มันเทพเซียนฟาดฟัน ผีน้อยรับเคราะห์* ชัดๆ ทางฝั่งนั้นซื่อจื่อก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ทางฝั่งนี้คุณชายหวังก็ไม่ยอมถอยให้เช่นกัน ข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อโดนบีบอยู่ตรงกลางจนใกล้จะขาดใจตายแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ซื่อจื่อยังรอให้กลับไปรายงานอยู่ทางนั้น รบกวนคุณชายหวังตามข้าน้อยไปสักหน่อยเถอะ ไปคุยกับซื่อจื่อให้รู้เรื่องเองดีหรือไม่ขอรับ”
เถิงอวี้อี้คิดไตร่ตรองชั่วครู่ ลิ่นเฉิงโย่วอยากได้คนจากนาง อย่างไรเขาก็ควรเป็นฝ่ายมาพูดคุยให้รู้เรื่องถึงจะถูก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใช้อารมณ์แก้ปัญหา หากลิ่นเฉิงโย่วตัดสินใจว่าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง นางคงไม่อาจปกป้องเป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีได้
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา เกรงว่าในใจก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “มีเรื่องต้องหารือกับพวกท่าน”
หลังสั่งกำชับเด็กชายทั้งสองเป็นอย่างดีแล้ว นางก็เชิดหน้าขึ้นกล่าวกับเฮ่อหมิงเซิงว่า “นำทางเถอะ”
สถานที่แห่งนั้นอยู่ในเขตเรือนหลัง ห่างจากศาลเจ้าไม่เท่าไร เดิมทีเป็นห้องโถงบุปผาขนาดเล็ก แล้วเปลี่ยนมาเป็นห้องพักอาศัยชั่วคราว ตรงหน้าบันไดต้นไม้เขียวขจีรกครึ้ม เป็นอาณาบริเวณที่เงียบสงบดีเหลือเกิน ตอนเถิงอวี้อี้เดินเข้าไป ลิ่นเฉิงโย่วเพิ่งจะเดินมาจากทางเดินอีกเส้นหนึ่ง ด้านหลังมีคนติดตามมาพร้อมกันหลายคน เอ้อจีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ซื่อจื่อ”
ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้า “ตามคนมาครบแล้วหรือ”
เฮ่อหมิงเซิงเอ่ยยิ้มๆ “คนอื่นคุยกันง่าย เหลือเพียงเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูที่ยุ่งยากเล็กน้อยขอรับ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อชำเลืองมองห้องนั้น ช่องหน้าต่างเปิดแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเงาร่างอรชรในชุดงดงามพลิ้วไหวอย่างเลือนรางอยู่ภายในห้อง
เด็กชายสองคนใบหน้าเป็นสีแดงก่ำทันที ก่อนจะวิ่งไปหยุดตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว กระชากแขนเสื้ออีกฝ่ายพลางว่า “ศิษย์พี่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้”
ลิ่นเฉิงโย่วท่าทางไม่สะทกสะท้าน “ข้าทำอะไรหรือ”
“ศิษย์พี่เรียกแม่นางเหล่านี้มาเป็นสิบคนแล้ว ไฉนต้องเรียกเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูด้วย พวกนางเป็นคนดีนะ ศิษย์พี่ ท่าน…ท่านจะ…”
สองคำสุดท้ายเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ลิ่นเฉิงโย่วลูบคลำใบหู ได้ยินไม่ค่อยจะชัด แต่ตระหนักได้ว่าคำนั้นคงจะเป็นคำว่า ‘ย่ำยี’
เขาไม่โกรธ แต่กลับยิ้มแย้ม “ข้าจะย่ำยีพวกนาง?”
เจวี๋ยเซิ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ขอบังอาจถามท่านสักคำ วันนี้พอออกจากห้องนี้ไปแล้วท่านยังเรียกชื่อพวกนางได้หรือไม่”
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องเรียกชื่อพวกนางได้ด้วยเล่า”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสีหน้าย่ำแย่กว่าเก่า เผยอริมฝีปากกล่าวเสียงอึกอักว่า “ศิษย์พี่ อย่างนี้ไม่ดีเลย พวกนางถูกขายมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ชาติกำเนิดก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ศิษย์พี่ ท่าน…ท่านจะซ้ำเติมเคราะห์ร้ายให้พวกนางไม่ได้นะ”
“ใช่ๆๆ หากได้แล้วทิ้งขว้าง ถือว่าผิดหลักคำสอนของท่านอาจารย์นะขอรับ”
นี่เป็นถ้อยคำที่เถิงอวี้อี้สอนมา ซึ่งพวกเขาต้องข่มกลั้นไว้ตั้งนานถึงจะหลุดปากออกมาได้
ลิ่นเฉิงโย่วโดนตำหนิตีแสกหน้าอย่างจังยกหนึ่ง ครุ่นคิดในใจว่าพวกเขาไปเรียนคำพูดคำจาเช่นนี้มาจากที่ใด ท่านยังเรียกชื่อพวกนางได้หรือไม่? ซ้ำเติมเคราะห์ร้าย? ได้แล้วทิ้งขว้าง? สายตาของเขามองปราดไปทางเถิงอวี้อี้โดยพลัน ก่อนยกยิ้มเยาะหยันกล่าว “ข้าก็ว่านี่มันเรื่องอันใดกัน ที่แท้เป็นเรื่องดีงามฝีมือคุณชายหวังนี่เอง”
เถิงอวี้อี้ลอบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลิ่นเฉิงโย่วกลับสาวเท้าเดินมาหานาง ค่อยๆ เข้ามาใกล้แล้วชายตามองลงมาที่นาง “คำพูดพวกนี้เจ้าเป็นคนสอนพวกเขาหรือ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ๆ ตอนเถ้าแก่เฮ่อมาคุยกับคุณชายหวัง พวกข้าได้ยินมาเองต่างหาก คำพูดนี้ก็เป็นสิ่งพวกข้าอยากจะพูดขอรับ”
เถิงอวี้อี้คลี่ยิ้มบางๆ “ข้าน้อยขอร้องให้นักพรตน้อยทั้งสองมาพูดแทนจริงๆ นั่นล่ะ เด็กสาวสองนางนี้ที่ซื่อจื่อหมายตาไว้บังเอิญว่าเมื่อหลายวันก่อนก็ถูกใจข้าน้อยเช่นกัน จึงมอบเงินทองจำนวนหนึ่งแก่เอ้อต้าเหนียง ให้ภายในครึ่งปีนี้พวกนางไม่ต้องไปปรนนิบัติผู้อื่น จะว่าไปซื่อจื่อไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย ก่อนอื่นข้าน้อยต้องกล่าวขออภัยต่อซื่อจื่อ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูไม่อาจไปปรนนิบัติซื่อจื่อได้แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้า “เจ้าไม่ยอมตัดใจมอบให้ ก็เลยยุยงให้เด็กโง่สองคนนี้มาพูดว่าข้าข่มเหงรังแกคน?”