ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 34
ภายในห้องที่ลิ่นเฉิงโย่วก้าวเข้าไปนั้น
เฮ่อหมิงเซิงที่อยู่ในห้องกัดฟันบอกกับลิ่นเฉิงโย่วว่า “ซื่อจื่อ เว้นแต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจิน หญิงงามแถวหน้าในหอล้วนมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว”
ในห้องมีคนรออยู่แล้วสี่คน ส่วนคนที่เหลืออยู่ห้องด้านนอก
เหล่าหญิงงามมองหน้ากัน แต่ละคนสีหน้าสับสนคลางแคลง
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือไพล่หลังเดินย่ำวนไปมา เพ่งพินิจดูใบหน้าทุกคนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สุดท้ายผลักประตูเข้าไปยังห้องชั้นในสุด ก่อนก้มตัวลงช้อนน้ำในถังไม้ขึ้นมา
น้ำสำหรับอาบเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดเบาบาง
“คงพอใช้ได้แล้ว ลงมาแช่น้ำเถอะ”
หญิงสาวสี่คนในห้องใจเต้นระรัวไม่หยุด คล้ายกำลังลังเลว่าจะถอดเสื้อผ้าก่อนลงถังดี หรือว่าลงไปแล้วค่อยถอดดี ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นเฮ่อหมิงเซิงยังอยู่หน้าห้องชั้นใน ประหลาดใจที่ลิ่นเฉิงโย่วไม่มีท่าทีจะให้เขาออกไป ที่สำคัญไม่เพียงแค่เฮ่อหมิงเซิงไม่ออกไป ห้องชั้นนอกยังมีนักพรตเฒ่าเข้ามาเพิ่มอีกสองสามคน
นักพรตเฒ่ามองตรงเข้ามายังห้องชั้นใน วางมาดเคร่งขรึมเอ่ยว่า “ข้าน้อยมาถึงแล้ว ไม่ทราบว่าเรียกมาด้วยเรื่องอันใด”
พวกเว่ยจื่อต่างร้องออกมาอย่างตกใจ “ซื่อจื่อ?”
ลิ่นเฉิงโย่วนั่งลงบนตั่งเตี้ยริมหน้าต่าง หยิบทองคำออกมาจากแขนเสื้อหลายก้อนแล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างไม่รีบร้อนก้อนแล้วก้อนเล่า จากนั้นเงยหน้าพร้อมยิ้มออกมา “ลงไปในถังไม้โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ผู้ใดกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานที่สุด ข้าจะยกทองคำกองนี้เป็นรางวัลให้คนผู้นั้น”
เถิงอวี้อี้กลับมาถึงห้องก็นอนพักผ่อนเต็มอิ่ม จนถึงยามโพล้เพล้จึงรู้สึกตัวตื่น พอลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เรียกลุงเฉิงกับฮั่วชิวเข้ามาสอบถาม “พวกท่านสองคนเคยถอนเขี้ยวสัตว์ร้ายหรือไม่”
ลุงเฉิงเหลือบตาขึ้นมอง “คุณหนู คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าลองถามดูเฉยๆ น่ะ” เถิงอวี้อี้แสร้งไม่รู้ไม่ชี้ “ได้ยินว่าเขี้ยวของสัตว์ร้ายถอนยากนัก มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
ลุงเฉิงหน้าไม่เปลี่ยนสี “เมื่อช่วงเที่ยงตอนอยู่หอหน้า คุณหนูยอมใช้สุราเป็นเหยื่อล่อเพื่อสอบถามจุดสำคัญของมารผีดิบ มาตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าจุดสำคัญของมารผีดิบคือฟันเขี้ยว แล้วยังมาถามเรื่องถอนเขี้ยวสัตว์ร้ายกับข้าน้อยอีก ข้าน้อยรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ต้องขอให้คุณหนูช่วยอธิบายด้วย”
เถิงอวี้อี้เอียงศีรษะมองลุงเฉิง รู้สึกเสียใจว่าไม่ควรพาลุงเฉิงมาด้วยเลย คนผู้นี้ความคิดละเอียดรอบคอบ ไม่มีเรื่องใดรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้
นางยิ้มหน้าระรื่น “ลุงเฉิง มีเรื่องหนึ่งข้าอยากถามท่านมานานแล้ว ท่านพ่อบอกว่าท่านเพิ่งจะอายุห้าสิบ เหตุใดเส้นผมกับหนวดเคราของท่านถึงขาวโพลนไปหมดเล่า”
คำพูดประโยคนี้เป็นความจริง ลุงเฉิงเส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ มีเพียงขนคิ้วคู่นั้นที่ทั้งเรียวยาวทั้งดำสนิท พอปรายตามองไปอย่างไม่ตั้งใจ ราวกับมีคนใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกจนชุ่มแล้วลากเส้นบนกระดาษสีขาวส่งเดชสองเส้นอย่างไรอย่างนั้น
ลุงเฉิงยังมีท่าทีสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ไม่สนใจต่อคำถามเรื่องเส้นผมหนวดเคราของเถิงอวี้อี้ แต่กลับคลี่ยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรแล้วเอ่ยว่า “เด็กสาวทั่วไปพอได้ยินเรื่องประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้เช่นนี้ ต่างตกใจกลัวกันทั้งนั้น เหตุใดคุณหนูถึงอยากสอบถามรายละเอียดได้ จะว่าไปนับตั้งแต่คุณหนูได้กระบี่หยกมรกตเล่มนั้นมา ดูเหมือนจะสนใจเรื่องภูตผีปีศาจเพิ่มขึ้นนะขอรับ”
เถิงอวี้อี้รีบเอ่ยแก้ไขคำพูดของลุงเฉิง “กระบี่เล่มนี้ของข้ามีชื่อแล้ว มันชื่อว่าเสี่ยวหยา”
“ได้ขอรับ กระบี่เสี่ยวหยา” ลุงเฉิงเปลี่ยนคำเรียกให้ถูกต้องทันที “มารผีดิบเข้ามาเกาะติดคุณหนู นายท่านไม่มีทางเลือกอื่นถึงได้ฝากคุณหนูให้อยู่ในมือนักพรตอารามตงหมิงและอารามชิงอวิ๋น เรื่องกำจัดปีศาจย่อมมีนักพรตคอยรับผิดชอบอยู่แล้ว คุณหนูอย่าพาตนเองไปเสี่ยงอันตรายเลย หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา จะให้ข้าน้อยอธิบายกับนายท่านอย่างไรกัน”
เถิงอวี้อี้อดทนฟังลุงเฉิงพร่ำบ่นจนจบ “ลุงเฉิง นานมาแล้วท่านเคยติดตามท่านพ่อรบทัพจับศึก จะว่าไปก็เป็นคนเก่งกล้าดั่งวีรบุรุษ มาวันนี้ถอดชุดเกราะทหารมาทำงานจิปาถะในจวน ไม่สมกับความสามารถที่มีเลยจริงๆ”
ลุงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “ข้าน้อยกับภรรยาเป็นหนี้บุญคุณนายท่านกับฮูหยินอย่างใหญ่หลวง ในชาตินี้มอบชีวิตให้นายท่านไปนานแล้ว อย่าว่าแต่ดูแลงานเล็กน้อยในจวนเลย ต่อให้ต้องอุทิศทั้งชีวิตรับใช้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เถิงอวี้อี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ลุงเฉิง ท่านกับข้าคุยเล่นเรื่องสัพเพเหระ อยู่ดีๆ มาคุยเรื่องเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน ถึงแม้ท่านจะเรียกตนเองว่าเป็นบ่าว แต่ในใจข้ามองเห็นท่านเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งมาตลอด ข้าก็ไม่อยากปิดบังท่าน ครั้งก่อนนักพรตอารามตงหมิงเคยพูดกับข้าไว้ ของวิเศษลัทธิเต๋าอย่างกระบี่เสี่ยวหยาเล่มนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธกำจัดปีศาจปราบมาร ทุกระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเอาปีศาจร้ายมาเซ่นสังเวยกระบี่เล่มนี้ หากไม่ดูแลเอาใจใส่ให้ดี สักวันหนึ่งจะกลายเป็นของธรรมดาไปในที่สุด ลุงเฉิง ท่านเป็นคนรอบรู้มากประสบการณ์ คิดว่าต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานเช่นนี้มาบ้างกระมัง”
“ข้าน้อยเคยได้ยินมาจริงๆ”
เถิงอวี้อี้ลูบไล้ด้ามกระบี่ช้าๆ “หลังข้าพลัดตกน้ำก็เอาแต่ฝันร้าย มีกระบี่เสี่ยวหยาคุ้มครองถึงได้นอนหลับสนิท หลายครั้งที่ผ่านมานี้เวลาเผชิญหน้ากับปีศาจ ก็เป็นเพราะมีมันคุ้มครองถึงพลิกร้ายเป็นดีได้ ดังนั้นข้าจึงคิดเอาไว้นานแล้วว่าจะต้องรักษาอิทธิฤทธิ์ของมันเอาไว้ให้ดี แต่ในเมื่อข้าไม่รู้วิชาเต๋า จะไปหาปีศาจมารร้ายจากที่ใดมาเซ่นไหว้กระบี่เล่มนี้ได้ ตอนนี้มีนักพรตจากสองอารามมากำจัดปีศาจที่นี่ ข้าไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป หากเอาปีศาจสองตนมาสังเวยกระบี่ได้จะดียิ่งนัก แต่หากสถานการณ์อันตรายเกินไป ข้าก็ไม่มีทางเข้าไปรนหาที่ตายแน่”
คำอธิบายกว่าครึ่งเป็นความจริงทั้งสิ้น เพียงซ่อนรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘วิชายืมดวงชะตา’ ไป
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ลุงเฉิงไตร่ตรองก่อนเอ่ยขึ้น “คุณหนูมอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าน้อยดีกว่า ฝีมือของข้าน้อยไม่ย่ำแย่ รอให้เหล่านักพรตกำราบปีศาจสองตนนั้นลงได้ ค่อยเล็งหาโอกาสจ้วงแทงจุดสำคัญของมัน”
“วิธีนี้คงใช้ไม่ได้” เถิงอวี้อี้ยิ้มเจื่อนๆ “กระบี่เล่มนี้ยอมรับเพียงเจ้านายของตน เมื่อพ้นจากมือของข้าไปก็จะกลายเป็นเครื่องหยกมรกตธรรมดาชิ้นหนึ่ง”
ลุงเฉิงเดินวนเวียนไปรอบห้องพักใหญ่ ดวงตาสองข้างก็หรี่ลงพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยเพิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หลายปีก่อนข้าน้อยเดินทางกลับมายังฉางอัน เคยพบเจอสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งในตลาด คนผู้นี้เพิ่งกลับมาจากการประจำการชายแดนแคว้นหนานจ้าว ตอนดื่มสุรากับข้าน้อยเล่าว่าเคยพบราชาผีดิบในท้องถิ่นแถบนั้น”
หัวใจเถิงอวี้อี้สั่นไหว เป็นแคว้นหนานจ้าวอีกแล้ว