ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6
บทที่ 5
“หยุดก่อน” จู่ๆ ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งก็ได้ยินลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยขึ้น
นางตัวสั่นงันงกพลางกล่าวถามว่า “ซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งอีกหรือเจ้าคะ”
“ในห้องมีคนบาดเจ็บทั้งหมดกี่คน”
“สี่…สี่คน ไม่สิ รวมกับบ่าวชายจวนแม่ทัพเถิง ทั้งหมดมีห้าคน”
“สี่หญิงหนึ่งชาย?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“พวกเขาทุกคนหมดสติไปใช่หรือไม่”
เศษเสี้ยวความหวังผุดขึ้นมาในใจผู้ดูแลหญิงสกุลต่งอย่างเลือนราง นางตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก
“สี่คนนั้นคิดว่าคงฟื้นแล้ว มีเพียงคุณหนูรองของข้าน้อยที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ยาที่ซื่อจื่อมอบให้เมื่อครู่ไม่พอสำหรับแบ่งทุกคน คุณหนูเถิงนำยาเม็ดสุดท้ายไปป้อนให้บ่าวชายของนางแล้ว ถ้าหากซื่อจื่อมียาเหลืออยู่ มอบให้คุณหนูสักเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ ถ้าหากไม่มีเหลือแล้ว ซื่อจื่อยังมีความรู้วิชาเต๋าอันปราดเปรื่อง ขอร้องท่านช่วยตรวจอาการคุณหนูด้วยเถิด”
ขณะที่นางเอ่ยปากวิงวอน กิ่งดอกไม้ประหลาดเหล่านั้นก็แทงทะลุผิวดินแล้วโผล่พรวดขึ้นมาจำนวนมากกว่าก่อนหน้านี้เท่าหนึ่ง เกิดเป็นทะเลดอกไม้สูงหลายฉื่อในพริบตา
ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งมีหรือจะกล้ารั้งอยู่ต่อ นางตะเกียกตะกายหนีกลับเข้าไปในห้องทันที
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูจากซองที่ห้อยอยู่ข้างเอวแล้วยิงขึ้นฟ้าไปหนึ่งดอก
ลูกธนูหัวทองคำพุ่งขึ้นไปในอากาศ จากนั้นระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝนธนูนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโปรยปรายลงมาจากทุกทิศทุกทาง
เจ้าสิ่งนี้ราวกับมีสติปัญญารู้คิด พอมันเกาะติดสิ่งชั่วร้ายได้ก็เกิดประกายไฟแตกกระจายออกมา ลอยวนเวียนไปทั่วเหมือนมังกรไฟ รวดเร็วฉับไวปานสายฟ้าฟาด กิ่งดอกไม้เหล่านี้หลบไม่พ้นจึงโดนแผดเผาจนส่งเสียงร้องโหยหวนวุ่นวายไปหมด
รอยยิ้มของฮูหยินอันกั๋วกงเริ่มแข็งค้าง
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูจากในซองมาอีกดอก กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขออภัยด้วย ทำร้ายลูกหลานของเจ้าเข้าแล้ว”
แม้จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ทว่ากลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้น้ำใจ ลูกธนูที่ยิงออกไปเผาเถาดอกไม้จนมอดไหม้ไปกว่าครึ่ง
ฮูหยินอันกั๋วกงถูกโซ่เหล็กพันธนาการจนมิอาจขยับเขยื้อน เห็นลิ่นเฉิงโย่วต้องการจะกำจัดให้สิ้นซาก ทันใดนั้นเองนางก็ตัดสินใจกัดลิ้นตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว
นางกลัวความเจ็บปวดเป็นที่สุด ชั่วขณะที่กัดลงไปเต็มแรงก็ขมวดคิ้วมุ่น พ่นลมหายใจฟืดฟาดต่อเนื่องพร้อมกับร่างกายสั่นเทาน้อยๆ
ลิ่นเฉิงโย่วกระดกลิ้นด้วยความแปลกใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปีศาจเสแสร้งได้ถึงเพียงนี้”
เขายิงธนูขึ้นฟ้าเป็นดอกที่สาม ก่อนจะทะยานร่างเหาะเหินไปเหยียบบนคานไม้ด้านข้าง
ฮูหยินอันกั๋วกงก้มหน้าก้มตาพึมพำคาถาอย่างตั้งใจ กระทั่งโลหิตสีดำไหลซึมออกมาทางมุมปากหยดแล้วหยดเล่าจนเปียกชื้นทั่วแผ่นยันต์บนริมฝีปาก
ยันต์แผ่นนั้นติดแน่นหนาเหลือเกิน แต่อย่างไรก็เอาชนะการกัดกร่อนของหยดเลือดไม่ได้ ระหว่างนั้นเองเมฆสีดำครึ้มก็เกาะกลุ่มรวมกัน ดวงดาวเลือนหายไปจากสายตา ลมพายุฝนฟ้าคะนองก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งไม่รู้ไม่เห็น เหาะเหินวนรอบลานกว้างรอบหนึ่ง ตอกหมุดย้ำที่ถือไว้ในมือลงบนตำแหน่งค่ายกลทีละตัว จากนั้นค่อยกลับลงสู่พื้นดิน แล้วแปะยันต์ไว้บนหน้าผากของฮูหยินอันกั๋วกง
ฮูหยินอันกั๋วกงโดนซัดจนสติรับรู้แตกซ่าน ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดไรฟันออกมา ความเคลื่อนไหวผิดปกติใต้พื้นดินพลอยหยุดชะงัก หมู่เมฆและดวงดาวที่กำลังปั่นป่วนก็กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
ลิ่นเฉิงโย่วกระชากยันต์เปื้อนเลือดที่สิ้นฤทธิ์โยนทิ้งไปอีกทาง “เจ้าคงตั้งใจจะถ่วงเวลาสินะ”
ฮูหยินอันกั๋วกงเบิกตาโพลงโดยพลัน แววตาดั่งลูกธนูแหลมคมอาบยาพิษ
ลิ่นเฉิงโย่วเดินกลับไปกลับมาตรงหน้านางสองก้าว “ข้าวาดคำสั่งตราประทับเทพหวงเสินกับเทพเยวี่ยจางบนยันต์แผ่นนี้ รวมกับใช้วิชาอ่านใจจักรพรรดิสวรรค์ หากปีศาจทั่วไปโดนยันต์นี้เข้า ต่อให้ไม่คืนร่างเดิม ก็จะถูกขับออกจากร่างที่อาศัยอยู่ แต่นอกจากเจ้าจะไม่เจ็บไม่คัน ยังเรียกลมล่อฟ้าในค่ายกลของข้าได้อีก”
ฮูหยินอันกั๋วกงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ กลิ่นอายดุร้ายยังคงแผ่ปกคลุมทั่วร่าง
“เห็นๆ กันอยู่ว่ามีฝีมือสูงส่ง กลับทำตัวน่าขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เรียกพวกสมุนไร้ความสามารถมาต่อสู้ ก็ใช้วิชาอาคมกระจอกงอกง่อย” ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้าลง มองประเมินปีศาจตรงหน้าอย่างพิจารณา “เจ้ากำลังรออะไรอยู่”
สายตาฮูหยินอันกั๋วกงเป็นประกายวาววับ สีหน้าโกรธแค้นไม่สามารถหลบซ่อนไว้ได้แล้ว
ลิ่นเฉิงโย่วเก็บงำรอยยิ้มแล้วตบมือส่งสัญญาณ
เหล่าองครักษ์และบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างนอกหลั่งไหลเข้ามา พวกเขาล้วนผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี แม้มองเห็นปีศาจแล้วจะรู้สึกตกใจแต่ก็สงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว
“ซื่อจื่อ”
“ตามหาเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพบแล้วใช่หรือไม่”
องครักษ์หิ้วคอเสื้อเด็กน้อยสองคนออกมา “หาพบแล้วขอรับ นักพรตน้อยทั้งสองไปชมการแสดงกายกรรมไม้ค้ำยาวของชาวหูอยู่ที่ริมน้ำนี่เอง”
เด็กชายทั้งสองเป็นเด็กฝาแฝดขาวอวบ รูปร่างกลมกลิ้งเหมือนถังไม้ พวกเขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำกับรองเท้าฟาง มองดูแล้วอายุประมาณสิบปี คนหนึ่งมีฉายาทางเต๋าว่า ‘เจวี๋ยเซิ่ง’ ส่วนอีกคนมีฉายาทางเต๋าว่า ‘ชี่จื้อ’
ในมือของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างถือกุ้งย่างปรุงรสคนละสองสามไม้ สองขากวัดแกว่งวุ่นวายกลางอากาศ
“ปล่อยพวกเราลงไปนะ พวกเราจะไปหาศิษย์พี่”
ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นฮูหยินอันกั๋วกง พวกเขาขยี้ตาอย่างประหลาดใจ “นี่…นี่คือ”
“พวกเจ้ากินอิ่มแล้วหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบซ่อนไม้กุ้งย่างปรุงรสไว้ข้างหลัง ก่อนเอ่ยเรียกพร้อมส่งยิ้มแหยๆ “ศิษย์พี่”
ท่านอาจารย์ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างเมือง หลายวันมานี้ในอารามไม่มีใครอยู่ เผอิญว่าตรงกับเทศกาลซั่งซื่อพอดี พวกเขาอดใจไม่ไหวลอบหนีออกมา เดิมทีตั้งใจว่าจะกลับอารามก่อนยามจื่อ ไม่คาดคิดว่าจะถูกผู้ติดตามข้างกายลิ่นเฉิงโย่วพบตัวเข้าเสียก่อน
“พวกเจ้าต้องการอาหารคาวเพิ่มสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่ๆๆ ไม่ต้องขอรับ” เด็กชายทั้งสองส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งยิ่งศิษย์พี่ท่าทางใจดีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเรื่องไม่ดีมากเท่านั้น
“กินกุ้งย่างไม่กี่ไม้ก็อิ่มแล้วหรือ”
เด็กน้อยพร้อมใจกันพยักหน้ารับเบาๆ “กินอิ่มแล้ว อิ่มแล้วจริงๆ”
ลิ่นเฉิงโย่วโยนโซ่เหล็กใส่มือเจวี๋ยเซิ่ง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “กินอิ่มแล้วก็ทำงานเถอะ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตะลึงงัน จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือ
“ปีศาจตนนี้พลังฝีมือร้ายกาจ ไม้สยบมารอย่างมากที่สุดก็ต้านทานไว้ได้ครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าคนหนึ่งรักษาตำแหน่งข่านกับเฉียน ส่วนอีกคนรักษาตำแหน่งเกิ้นกับเจิ้น* ห้ามเสียสมาธิและห้ามหนีไปเด็ดขาด”
เด็กทั้งสองอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา พวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ นี่ศิษย์พี่ต้องการจะตั้งค่ายกลอู่จั้งแน่นอน
มนุษย์เรามีอวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะแต่ละอย่างล้วนมีจิตวิญญาณดูแล หากโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงร่าง ดวงจิตและวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นจะกระเด็นออกนอกร่างทันที
หากเป็นวิญญาณร้ายทั่วไป ยันต์แผ่นเดียวก็สามารถผลักออกจากร่างอาศัยได้ แต่ถึงขั้นที่ใช้ค่ายกลอู่จั้ง มักจะเป็นปีศาจที่ร้ายกาจจนมิอาจมองข้ามได้
เงื่อนไขสำหรับพลังผู้ควบคุมค่ายกลนี้ช่างสูงลิบลิ่ว ถึงแม้เด็กน้อยทั้งสองจะเป็นเพียงเด็กรักษาค่ายกล แต่เพราะพวกเขาสามารถดูดกลิ่นเหม็นคาวสกปรกของปีศาจในค่ายกลได้ จึงห้ามกินอาหารคาวตลอดระยะเวลาหนึ่งปี