เขากลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบแล้วคลานกลับเข้าไปอยู่ตำแหน่งเดิมเพื่อรักษาค่ายกลทั้งน้ำตา
ฮูหยินอันกั๋วกงอยากจะคว้าเด็กน้อยเอาไว้ก็ไม่ทันแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นลูกธนูสี่ดอกที่ลิ่นเฉิงโย่วยิงออกไปนั้นเกี่ยวพันรวมกันกลายเป็นตาข่ายทองคำ ทิ้งตัวครอบศีรษะลงมาราวกับผ้าม่าน
นางแค่นเสียงเย้ยหยันในใจ ทะยานร่างย้อนทวนสายลมขึ้นไป แต่ตาข่ายผืนนั้นไม่รู้ว่าซุกซ่อนเล่ห์กลใดเอาไว้ ยิ่งขยับเข้าใกล้เท่าใดก็ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนระอุ
เวลาประเดี๋ยวเดียวเส้นผมสีดำขลับบนศีรษะนางก็โดนเผาไหม้ไปหย่อมหนึ่ง
นางร่ำร้องในใจว่าไม่ได้การแล้ว สตรีสูงศักดิ์ที่นางเข้าสิงร่างอยู่ผิวพรรณเนียนละเอียดอ่อนนุ่มไม่อาจทนรับความบอบช้ำได้ หากฝืนทะลวงฝ่าตาข่ายออกไปคงโดนเผาจนเนื้อหนังเหวอะหวะ
เจ้าหนุ่มผู้นี้ร้ายกาจยิ่งกว่าที่นางคิด จะต้องมั่นใจเรื่องนี้ถึงได้วางแผนไว้ล่วงหน้า
ฮูหยินอันกั๋วกงนึกชิงชังอยู่ในใจ ไหล่ข้างหนึ่งเอียงลู่เตรียมจะกลับลงสู่พื้นดิน พลันสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนพัดวูบผ่านท้ายทอย เป็นลิ่นเฉิงโย่วที่ลอบจู่โจมนางจากด้านหลังนี่เอง
ด้านบนมีของวิเศษดักทาง ด้านหลังมีศัตรูไล่ตาม ฮูหยินอันกั๋วกงเบี่ยงกายหลบไม่พ้น จู่ๆ เล็บมือก็งอกยาวหลายชุ่น กรีดฝ่ามือตนเองจนเป็นแผล
หยาดโลหิตไหลทะลักออกมาตามง่ามนิ้วมือ อาบย้อมหนอนล่ามวิญญาณเป็นสีแดงในทันใด
นางเอ่ยปากท่องคาถา ยกมือสะบัดโซ่เหล็กไปทางลิ่นเฉิงโย่ว
เดิมทีหนอนล่ามวิญญาณก็ขาดรากวิญญาณ ต้องบำเพ็ญเพียรนานนับพันปีถึงกลายเป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำได้ แม้จะสามารถมัดจิตวิญญาณของภูตผีปีศาจร้ายได้มากมาย ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่ง ก็อาจโดนล่อลวงได้ ลิ่นเฉิงโย่วเข้าใจกระจ่างว่าเจ้าสิ่งนี้มีนิสัยเช่นไร ฉะนั้นจนแล้วจนรอดจึงไม่กล้าปล่อยโซ่เหล็ก
‘โซ่เหล็ก’ ถูกบีบบังคับให้ดื่มเลือดปีศาจ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการร่วงหล่นลงในหมอกหนา มันไม่อาจแยกแยะได้ว่าคุณชายหนุ่มน้อยที่อยู่ด้านหลังเป็นผู้ใด ได้แต่หลับหูหลับตาเข้าไปพันร่างอีกฝ่ายไว้
ลิ่นเฉิงโย่วหรี่ตาลง บีบหนอนล่ามวิญญาณแน่นแล้วสบถด่า “เจ้าเดรัจฉาน ดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร!”
เขาบีบเข้าที่จุดมิ่งเหมินหนอนล่ามวิญญาณโดนฟาดกลับสู่ร่างเดิมในทันที มันอับอายจนไม่มีหน้าจะพบใคร จึงกลายร่างเป็นงูสีทองขนาดเล็กมุดเข้าไปซ่อนในสาบเสื้อของลิ่นเฉิงโย่วอย่างหดหู่
ฮูหยินอันกั๋วกงหัวเราะเสียงหวาน อาศัยโอกาสนี้เบี่ยงกายไปทางซ้าย เหาะเหินเฉียดผ่านทางขวาของลิ่นเฉิงโย่ว แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังระเบียงทางเดิน
ผู้ใดจะรู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วแบ่งสมาธิรับมือสองทางได้ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือขยับวูบเข้าประชิดแล้วฟาดบนหัวไหล่นางโดยพลัน “นี่คิดจะหนีแล้วหรือ ข้ายังเล่นสนุกไม่พอเลยนะ”
ฮูหยินอันกั๋วกงตกตะลึงพรึงเพริด เหนือศีรษะมีตาข่ายทองคำ บนร่างไม่มีแรงจากหนอนล่ามวิญญาณให้หยิบยืม นางหมดหนทางจะหลบเลี่ยง จึงจำใจรับฝ่ามือนี้แต่โดยดี
นางแอบดูแคลนอยู่ในใจ ลิ่นเฉิงโย่วอายุยังน้อย อีกทั้งมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์เปี่ยมด้วยโชควาสนา จะมีพลังตบะได้เช่นไรเล่า เป็นไปได้เพียงว่าคงอาศัยของวิเศษชั้นเยี่ยมวาดลวดลายบ้างก็เท่านั้น
ก่อนหน้านี้เพราะความประมาทถึงได้หลงกลแผนการของลิ่นเฉิงโย่ว นางแสร้งวางท่าว่ากำลังพักฟื้นอยู่ในค่ายกลพลังก็กลับคืนมาห้าหกส่วนแล้ว ต่อให้ต้องรับฝ่ามือเขาสักครั้งก็ไม่มีปัญหา
“ฝีมือต่ำต้อยเท่านี้จะทำอะไรข้าได้”
นางโบกสะบัดผ้าคลุมไหล่ เรือนกายพลิ้วไหวดั่งสายธาร เพียงเฝ้ารอให้ลิ่นเฉิงโย่วใช้งานยันต์ไร้ประโยชน์พวกนั้นจนหมด ก็จะลากตัวเด็กหนุ่มมาอยู่ตรงหน้าตนเอง คาดไม่ถึงว่าฝ่ามือนั้นกลับมีพลังหยางบริสุทธิ์ ถาโถมแหวกฝ่าทุกอุปสรรคขัดขวางมาอย่างดุดัน ชั่วอึดใจเดียวก็กระแทกเข้าสู่ชีพจรหัวใจร่างเดิมของนาง
ดวงตาสองข้างของนางเบิกกว้าง พลังปราณในร่างเปรียบดั่งไอร้อนเดือดพล่าน กำลังภายในราวกับโดนสูบหายไปกว่าครึ่ง อวัยวะภายในทั้งหมดสั่นสะเทือนราวกับจะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
นางพยายามเต็มกำลังด้วยปรารถนาจะรักษาวิญญาณดั้งเดิมเอาไว้ ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว ร่างกายนางพลันสะท้านเฮือก วิญญาณดั้งเดิมถูกผลักกระเด็นออกมากว่าครึ่ง
“ถึงแม้ฝีมือต่ำต้อย ก็มากพอจะรับมือเจ้าได้แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแหงนหน้ามองปีศาจตนนั้น เห็นแค่เงาดำถูกผลักออกจากร่างสตรีตรงหน้า กลายเป็นหญิงชราอายุประมาณเจ็ดสิบปีที่มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะและรูปร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่ง
“ที่แท้…ที่แท้นางก็มีหน้าตาเช่นนี้จริงๆ ด้วย”
“แก่งั่กเลย ดูแก่กว่าท่านอาจารย์อีกนะ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตะลึงงัน พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างเดิมของปีศาจกรงเล็บขวาขาดหายไป
เงาดำอับอายและขุ่นเคืองอย่างยิ่งจึงยกแขนปิดบังใบหน้าตนเอง