ภิกษุยิ้มแย้มอารีดั่งพระพุทธองค์ เหลียวมองซ้ายขวาก่อนเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาตมาจำได้ว่าเดินมาจากทางนี้ เชิญสีกาทั้งหลายเดินตามอาตมาไปด้วยกัน”
ตู้ถิงหลันฉุดมือเถิงอวี้อี้ให้รีบตามไป ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ นางหันหน้ากลับไปมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นน้องสาวจ้องมองแผ่นหลังของภิกษุรูปนั้นเขม็ง บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อใหญ่เท่าเมล็ดถั่วผุดพราย
หัวใจตู้ถิงหลันพลันบีบรัดแน่น “เจ้าเป็นอะไรไป”
เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บอกใบ้ให้ตู้ถิงหลันดูกระดิ่งตรงข้อมือที่ยังสั่นไม่ยอมหยุด จากนั้นขยับปากบอกตู้ถิงหลันโดยไร้เสียงห้าคำ ‘มันคือสิ่งชั่วร้าย’
หนังศีรษะตู้ถิงหลันชาหนึบ ก่อนหน้านี้นางก็เคยสงสัย เพียงแต่ลักษณะท่าทางของภิกษุรูปนี้ทำให้คนเชื่อมโยงไปถึงปีศาจมารร้ายไม่ได้จริงๆ แต่กระดิ่งเส้นนี้ของน้องสาวเป็นของวิเศษจากอารามชิงอวิ๋น ไม่มีทางส่งสัญญาณเตือนอย่างไร้เหตุผลแน่
พอเห็นว่าเหล่าสหายพากันเดินตามไปหมดแล้วตู้ถิงหลันทั้งตกใจทั้งร้อนรน นางกุมมือเถิงอวี้อี้ไว้แน่น ก่อนขยับปากถามในความเงียบงัน ‘แล้วจะทำอย่างไรดี’
เถิงอวี้อี้สงบสติอารมณ์อย่างสุดกำลัง อย่างไรก็ตามต้องรู้เบื้องหลังของภิกษุรูปนี้ให้กระจ่างก่อนค่อยว่ากัน ด้วยเหตุนี้จึงลอบใช้นิ้วมือเคาะกระบี่เสี่ยวหยา ส่งสัญญาณให้ชายชราร่างเล็กออกมาโดยไว
ครั้งนี้การตอบสนองของเสี่ยวหยากลับรวดเร็วผิดปกติ แทบจะในทันทีที่นางเคาะด้ามกระบี่ในแขนเสื้อก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่นานเถิงอวี้อี้ก็สัมผัสได้ว่าบนแขนมีร่างเล็กๆ ยืนขึ้นมา น่าแปลกใจว่าพอเสี่ยวหยาออกมาแขนเสื้อของนางก็เริ่มสั่นเบาๆ
เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป สัมผัสได้ทันทีว่าขาสองข้างของเสี่ยวหยากำลังสั่นระริก
เรื่องนี้ทำให้นางหวาดผวาอย่างไม่มีเหตุผล ครั้งก่อนเมื่อมารผีดิบปรากฏตัว แม้เสี่ยวหยาจะทำตัวไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย ถึงกระนั้นก็ไม่เคยลืมตัวเสียกิริยา แต่ครั้งนี้เขากลับตกใจอย่างหนัก
ในชั่วอึดใจนั้นเสี่ยวหยาเขียนบางสิ่งบนแขนของนางอย่างรวดเร็ว เถิงอวี้อี้รวบรวมสมาธิจำแนกถ้อยคำ ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เสี่ยวหยาเขียนคือ ‘หมดกัน หมดกันแล้ว เป็นไน่จ้ง’
ชายชราร่างเล็กเขียนหนังสือขยุกขยิกไม่กี่คำลงบนแขนเถิงอวี้อี้ จากนั้นในแขนเสื้อก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเขาก็หนีกลับเข้ากระบี่ไปอีกแล้ว
เถิงอวี้อี้ถึงกับตะลึงงัน เจ้าพูดกับข้าให้รู้เรื่องก่อนแล้วค่อยไปสิ อะไรคือ ‘ไน่จ้ง’ แล้วเพราะเหตุใดถึงบอกว่า ‘หมดกัน’
ทว่านางเขย่ากระบี่เล่มเล็กของตนสักเพียงใด เป็นตายอย่างไรเสี่ยวหยาก็ไม่ยอมออกมาอีก นางอับจนหนทาง ได้แต่เงยหน้ามองแผ่นหลังของภิกษุ เขาเดินนำเด็กสาวเหล่านั้นไปได้สักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีทางออก
เถิงอวี้อี้จิตใจร้อนรุ่มสับสน ยังไม่เข้าใจเบื้องลึกของฝ่ายตรงข้ามก็ชิงลงมือมีแต่จะทำให้นางตายเร็วกว่าเดิมน่ะสิ
ไน่จ้ง? ไน่จ้งคือสิ่งใดกัน
คือผี คือปีศาจ หรือว่าคือมาร
ทำให้เสี่ยวหยาหวาดกลัวจนอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้ จะต้องไม่ใช่พวกสามัญไร้ชื่อเด็ดขาด
เถิงอวี้อี้ใช้ความคิดอย่างหนัก นางน่าจะเคยเห็นสองคำนี้จากที่ใดมาก่อน อยู่ๆ ก็นึกได้ว่าญาติผู้พี่อ่านตำนานอ้างอิงทางพระพุทธศาสนาบ่อยครั้ง ไม่แน่ว่าอาจรู้ที่มาของสองคำนี้ นางรีบเช็ดเหงื่อแล้วกระซิบข้างหูตู้ถิงหลัน “พี่สาวเคยได้ยินชื่อ ‘ไน่จ้ง’ บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
ตู้ถิงหลันนิ่งงันไปชั่วขณะ เหมือนกำลังทำความเข้าใจประโยคคำถามของเถิงอวี้อี้ ทันใดนั้นเมื่อนางเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่สีหน้ากลับซีดขาวขึ้นมาในพริบตา
นางรีบกระซิบตอบข้างหูเถิงอวี้อี้ “เป็น…เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งของฝ่ายพุทธ”
ลมหายใจเถิงอวี้อี้หอบหนักกว่าเดิมหลายส่วน มิน่าเล่าถึงได้คุ้นหูอยู่บ้าง นางคิดออกแล้ว ปีก่อนๆ ในงานลอยโคมช่วงเทศกาลอวี๋หลันเผิน* ตอนอยู่ที่เมืองหยางโจว นางเคยเห็นหุ่นกระบอกที่เขียนคำว่า ‘ไน่จ้ง’ สองคำนี้ตามตลาดกลางคืนอยู่หลายครั้ง
หุ่นกระบอกชนิดนี้มักมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหุ่นชนิดอื่น แววตาดุจสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ฟันน่ากลัวดั่งอาวุธคมกริบ ถึงแม้จะเป็นเดือนเจ็ดที่อากาศร้อนอบอ้าวเหลือทน แต่เวลามองเห็นหน้าตาโหดเหี้ยมดุดันของหุ่นกระบอกชนิดนี้ก็ยังทำให้แผ่นหลังรู้สึกเย็นยะเยือกได้ ใต้ฝ่าเท้าของมันจะต้องมีปีศาจร้ายรูปลักษณ์แปลกพิสดารสารพัดชนิดหมอบกราบอยู่เสมอ กระทั่งยักษ์ที่เป็นหนึ่งใน ‘ธรรมบาลทั้งแปด’** ตามหลักพุทธศาสนายังมีท่าทียอมศิโรราบต่อไน่จ้ง