บทที่ 7
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อคำด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “คุณหนูเถิงพูดจามีเหตุผล ปีศาจตนนี้ตัวไม่ใช่เล็กๆ กินมื้อเดียวคงไม่หมดเป็นแน่ เอากลับไปค่อยๆ ดองน้ำส้มก็ดี วันนี้กินแขน พรุ่งนี้กินหัว หากกินผู้เดียวยังไม่หนำใจ ก็ชวนมิตรสหายมากินด้วยกันก็ได้ไม่มีปัญหา”
ปีศาจเฒ่าฟังแล้วไฟโทสะในใจแผดเผาร้อนรุ่ม ขยับร่างลุกขึ้นคล้ายจะออกจากค่ายกล ทุกคนเห็นเต็มสองตา หัวใจก็เต้นโครมครามเหมือนจะกระดอนมาถึงคอหอย ผู้ใดจะรู้ว่าปีศาจเฒ่าแค่ขยับเขยื้อนครู่หนึ่งก็สะกดกลั้นโทสะไว้ได้
เถิงอวี้อี้ลอบปาดเหงื่ออยู่ตลอดเวลา พยายามล่อหลอกถึงถึงเพียงนี้แล้ว ไม่คาดคิดว่าปีศาจเฒ่าก็ยังไม่ตกหลุมพราง เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากรอต่อไปคนที่อยู่ในลานกว้างทั้งหมดคงไม่มีผู้ใดรอดไปได้แม้แต่ผู้เดียว
ลิ่นเฉิงโย่วกลับรักษาความหนักแน่นดุจเขาไท่ซานหมุนด้ามกระบี่เล่นอย่างเชื่องช้า “ฉวยโอกาสที่ปีศาจเฒ่าตนนี้ไม่กล้าขยับ ข้าจะทดสอบสักนิด ดูซิว่ากระบี่หยกมรกตยอดเยี่ยม หรือว่ากระบี่นิลเก้าสวรรค์ร้ายกาจกว่า”
เขาหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกางสองแขนออกเล็กน้อย โน้มร่างไปข้างหน้าแล้วกระโดดลงจากคานหลังคาเรือน กวัดแกว่งกระบี่กลางอากาศ จากนั้นชี้ปลายคมกริบตรงไปยังกลางหน้าผากของปีศาจเฒ่า
ปีศาจเฒ่ารู้ซึ้งดีว่ากระบี่หยกมรกตร้ายกาจเพียงใด ฝืนต้านรับเท่ากับตายสถานเดียว ฉะนั้นจึงแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมเอนตัวไปข้างหลัง พยายามพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ
ยามนี้ถือว่าเผชิญหน้ากับดาวพิฆาตสองดวงเข้าแล้ว เพิ่งจะทำลิ่นเฉิงโย่วบาดเจ็บ ก็มีคุณหนูเถิงโผล่มาอีกคน หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูเถิงจู่โจมแทงเข้ามาคงจัดการง่ายกว่า ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ตนเอง นางก็ฉีกกระชากอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ แต่ไกลได้เลย แต่กระบี่เล่มนั้นดันตกอยู่ในมือลิ่นเฉิงโย่ว
“ซื่อจื่อใกล้จะถึงวัยเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว เหตุใดเหมือนเด็กหนุ่มไม่เคยเจอหญิงงาม บอกว่าอยากลิ้มรสเนื้อหนังข้าจนน้ำลายสอต่อหน้าธารกำนัล ไม่กลัวใครจะหัวเราะเยาะหรือ”
นางกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานประจบ เจตนาเหาะเหินวนรอบค่ายกล ลิ่นเฉิงโย่วต้องการบีบให้นางออกจากค่ายกล แต่นางจะเป็นฝ่ายล่อเขาเข้ามาเอง
ลิ่นเฉิงโย่วกลับหยุดชะงักการเคลื่อนไหวไปทันใด ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกระโดดกลับไปข้างหลัง
“ช่างเถอะ เจ้าคงทำร้ายผู้คนมามากเกินไปแล้วหน้าตาถึงได้ขี้ริ้วขี้เหร่ปานนี้ มีคำพูดประโยคหนึ่งเคยได้ยินหรือไม่ ‘รูปลักษณ์ดีชั่ว จิตใจหนุนนำ’ ต่อให้เป็นในหมู่ปีศาจ หน้าตาอย่างเจ้าก็ขี้ริ้วขี้เหร่มากจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะกินเนื้อเจ้าเลย ให้มองนานเสียหน่อยก็ยังรังเกียจจะแย่แล้ว”
ปีศาจเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปชัดเจน นางบำเพ็ญเพียรมานับร้อยๆ ปี จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจบำเพ็ญเพียรให้มีรูปโฉมงดงามได้ หากมิใช่เพราะหลายเดือนก่อนเริ่มเข้ายึดครองร่างหญิงงาม ทุกวันนี้ก็คงยังมีใบหน้าเหี่ยวย่นน่าเกลียด
นางฉกฉวยร่างสตรีมาสิบกว่าคนแล้วแต่ก็ไม่ตรงกับที่ใจปรารถนาสักคนเดียว กระทั่งมาพบฮูหยินอันกั๋วกงเข้าถึงได้รู้ว่าโฉมงามเลิศล้ำเป็นเช่นไร
นางเป็นยอดหญิงงามมาสองสามเดือน เกือบลืมเลือนใบหน้าที่แท้จริงของตนเองไปแล้ว วาจานี้ของลิ่นเฉิงโย่วเป็นดั่งใบมีดคมกริบแทงทะลุหัวใจนางอย่างรวดเร็ว
แววตานางโหดเหี้ยมดุจลูกธนูอาบยาพิษ ริมฝีปากเริ่มกระตุก “รนหาที่ตาย!”
ลิ่นเฉิงโย่วรีบราดน้ำมันบนกองไฟ “คุณหนูเถิง เจ้าจะกินมันจริงหรือ ไม่กลัวว่าไอพิษของมันจะทำลายรูปโฉม?”
“นั่นสินะ” เถิงอวี้อี้เปลี่ยนความคิด “ไม่อย่างนั้นก็เอาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าเถอะ”
ปีศาจเฒ่าดวงตาแดงก่ำ ระงับอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป สองขาออกแรงถีบพุ่งขึ้นจากพื้นดินอย่างฉับพลัน
“เจ้าเด็กอวดดี! ชอบหาเรื่องใส่ตัวดีนัก คืนนี้จะให้เจ้าลิ้มรสชาติของการอยู่มิสู้ตาย”
ลิ่นเฉิงโย่วหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ ยิ้มบางๆ เตรียมหันหลังถอยหนี ไม่คาดคิดว่าจะกระเทือนตำแหน่งที่บาดเจ็บ ร่างกายจึงโซเซแล้วล้มลงกับพื้น
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกตะลึงพรึงเพริด “ศิษย์พี่!”
เหล่าองครักษ์ตกใจหน้าถอดสีแล้ววิ่งกรูเข้าไปหา
ปีศาจเฒ่าความเคียดแค้นชิงชังท่วมท้น จะยอมพลาดโอกาสดีงามเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกค่ายกล นางยื่นมือไปหมายจะฉีกร่างลิ่นเฉิงโย่วเป็นสองส่วน
ลิ่นเฉิงโย่วบาดเจ็บสาหัสตามคาด เขาก้มศีรษะไอโขลกไม่หยุด ปีศาจเฒ่าแสยะยิ้มชั่วร้าย ขณะกำลังจะออกแรงลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าพอลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะแผ่วเบาแล้วจู่ๆ จะพลิกมือกลับมาคว้ากรงเล็บนางไว้ ฉวยโอกาสที่ปีศาจเฒ่าไม่ทันเก็บกรงเล็บกลับ กระชากร่างนางโผนทะยานขึ้นฟ้า
กระบวนท่านี้มาอย่างกะทันหันเกินไป ปีศาจเฒ่าร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ขาดปราณพิฆาตอีกเพียงไม่กี่เสี้ยวสุดท้ายกลับหลงกลลิ่นเฉิงโย่วเสียได้ โชคดีที่ค่ายกลอยู่ใต้ฝ่าเท้า หนีกลับเข้าไปยังทันการณ์
เนื่องจากรีบหาทางเอาตัวรอด นางจึงปลดปล่อยหมอกสีดำดั่งลูกไฟออกมา
ลิ่นเฉิงโย่วจึงโยนร่างนางทิ้งไปแล้วกระโจนหลบไปด้านข้าง แต่ยังตะโกนสั่งการว่า “เปลี่ยนค่ายกล!”