เสี่ยวฉีฮองเฮาถูกทำเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเอ่ยปากอีกครั้งวาจาก็คลุมเครือขึ้นไม่น้อย “เจ้ามีความตั้งใจก็ดีแล้ว เจ้าเป็นชายารัชทายาท ว่าที่มารดาของแผ่นดิน พึงมีคุณธรรมและใจกว้าง มิอาจทำเรื่องเสียฐานะอย่างการแย่งชิงความโปรดปรานได้เป็นอันขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงชี้แนะ” ฉู่จิ่นเหยาตอบรับอย่างลื่นไหล แต่ในใจกลับรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก ภรรยาเอกแย่งชิงความโปรดปรานไม่ได้ ฮึ นางยังอุตส่าห์พูดออกมาได้ ทว่าฉู่จิ่นเหยาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จงใจยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้อง ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็อายุยังน้อย เรื่องมากมายในตำหนักบูรพาล้วนดูแลไม่เป็น หากฮองเฮาทรงรู้สึกว่าหม่อมฉันทำได้ไม่ถูกก็ทรงชี้แนะได้เพคะ”
ฉู่จิ่นเหยาพูดเช่นนี้แล้ว เสี่ยวฉีฮองเฮายังจะทำอย่างไรได้อีก นางทำได้เพียงพูดว่า “ไม่เป็นไร ใครๆ ก็เริ่มจากไม่เป็นจนเป็นกันทั้งนั้น เจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว วันหน้าค่อยๆ เรียนรู้ไปก็พอ”
“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจและเห็นใจเพคะ” ฉู่จิ่นเหยายอบกายกล่าวขอบคุณด้วย ‘น้ำใสใจจริง’
พูดมาถึงขั้นนี้เรื่องนี้ก็ไม่อาจไปต่อได้อีก เสี่ยวฉีฮองเฮาได้แต่หาประเด็นใหม่มาพูด พอนางเริ่มต้นพูดเรื่องใหม่ สนมชายาคนอื่นๆ ก็พากันเอาอกเอาใจ เรื่องเมื่อครู่จึงผ่านพ้นไปด้วยประการฉะนี้
ในตำหนักคุนหนิงเริ่มครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง ฉู่จิ่นเหยากลับไปนั่งที่ตนเอง ดูคล้ายตั้งใจฟังผู้อื่นสนทนากัน แต่สีหน้าท่าทางกลับมีแววมืดหม่นเผยออกมาเล็กน้อย เสี่ยวฉีฮองเฮาเพียงทำเป็นไม่รู้สึก ส่วนสนมชายาคนอื่นๆ มองเห็นแล้วก็ลอบสาแก่ใจเงียบๆ
คนในวังล้วนเป็นเช่นนี้ จะมีใครเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไรเล่า นางกำนัลแค่สองคนเท่านั้นเอง อย่างน้อยฉู่จิ่นเหยาก็ยังได้รับส่วนแบ่งมาถึงสิบวัน ควรรู้จักพอได้แล้ว
คนทั้งหลายพูดคุยกันอย่างออกรส มิได้สังเกตสักนิดว่าแม้ฉู่จิ่นเหยาจะพูดไปมากมาย มิหนำซ้ำยังเรียกเอ่อร์เสวี่ยกับเอ่อร์ฮวามาโขกศีรษะถวายบังคมฮองเฮา แต่โขกศีรษะไปเพื่ออะไรกัน ตามความเข้าใจของคนทั่วไป การโขกศีรษะคารวะนายหญิงก็หมายถึงรับเป็นอนุ เหล่าสนมชายาคิดไปตามแนวทางปกติ มิได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ทว่าอันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบฉู่จิ่นเหยาไม่ได้บอกว่าจะมอบฐานะให้นางกำนัลสองคนนี้
นางเพียงให้นางกำนัลทั้งสองมาโขกศีรษะถวายบังคมฮองเฮา ขอบพระทัยที่ฮองเฮาพระราชทานคน หลังจากนั้นฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่า ‘ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้อง’ ทว่าหาได้บอกไม่ว่าตนเองจะทำตามนั้น
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกขอบคุณโรคชอบพูดครึ่งปล่อยให้เดาครึ่งของคนในวังเป็นครั้งแรก ครั้งนี้มันช่วยนางไว้ได้มากจริงๆ
แต่กระนั้นที่น่าแปลกคือฉู่จิ่นเหยาอาศัยการพูดอย่างคลุมเครือผ่านด่านยากนี้ไปได้แล้วแท้ๆ ทว่านางกลับไม่รู้สึกดีใจ
นางอาศัยอุบายเล็กๆ น้อยๆ ปฏิเสธเสี่ยวฉีฮองเฮาได้ ทว่านางปฏิเสธฉินอี๋ได้หรือ
เพราะเรื่องนี้ถึงแม้ฉู่จิ่นเหยาจะได้เห็นเจดีย์โคมอันสูงตระหง่านหรูหรางดงาม ทั้งยังได้เห็นโคมไฟในวังที่วิจิตรประณีตจำนวนมากก็ยังหาอารมณ์เช่นยามที่ได้ดูดอกไม้ไฟในวันปีใหม่ไม่ได้
อารมณ์ของฉู่จิ่นเหยาแผ่ไปถึงสาวใช้ข้างกายอย่างรวดเร็ว หลิงหลงมองฉู่จิ่นเหยาด้วยความกังวล เอ่อร์เสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ส่วนเอ่อร์ฮวานึกว่าตนเองได้เข้าเฝ้าฮองเฮาแล้ว ฐานะของนางจะแตกต่างจากนางกำนัลทั่วไป นางจึงลิงโลดในใจ แต่มิกล้าแสดงออกต่อหน้าฉู่จิ่นเหยา
เอ่อร์ฮวาความคิดโลดแล่น สายตาที่มองเอ่อร์เสวี่ยเปี่ยมไปด้วยแววท้าทายและระแวดระวัง เอ่อร์เสวี่ยหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่งแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ตัวโง่เง่า”
ขณะเดียวกันเอ่อร์เสวี่ยก็รู้ว่าคราวนี้นางไม่มีทางถอยแล้ว เอ่อร์ฮวาถูกลากออกมาเพราะนิสัยบุ่มบ่ามและไร้สมองของนาง เอ่อร์เสวี่ยเองก็ถูกลากออกมาเช่นกัน นี่คือการข่มขู่โดยไร้เสียงจากฉู่จิ่นเหยา ถ้าไม่ยอมเป็นดาบในมือชายารัชทายาทเหมือนหงหมัวมัวก็ต้องถูกสตรีที่คิดจะปีนเตียงในตำหนักบูรพาคนอื่นๆ ฉีกเป็นชิ้นๆ
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเอ่อร์เสวี่ยก็คือการรู้กาลเทศะ ในเมื่อชายารัชทายาทเล็งเห็นความสามารถ เอ่อร์เสวี่ยก็ยินดีจะเลือกกิ่งไม้เกาะให้ดี* ชายารัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ จะคิดเล็กคิดน้อยกับนางกำนัลตัวเล็กๆ ได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่ออกหน้ากำราบนางกำนัลที่มีใจคิดเป็นอื่นในตำหนักฉือชิ่งจึงได้แต่เป็นเอ่อร์เสวี่ยที่เป็นนางกำนัลใจดำอำมหิตและมีชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นกัน