บทที่ 86.2 จัดหาอนุ
หลังกลับถึงตำหนักฉือชิ่ง เดิมทีกงหมัวมัวออกมาต้อนรับด้วยท่าทางยินดีปรีดา ครั้นเห็นสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา นางก็นิ่งงันไป จากนั้นก็กระซิบถามหลิงหลงขณะที่ไม่มีคน
“พระชายาทรงเป็นอะไรไป”
หลิงหลงส่ายหน้า ใช้นิ้วชี้เอ่อร์ฮวาที่กำลังบิดเอวและลูบผมก่อนชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกงหมัวมัวก็เดาเรื่องที่จะเกิดในคืนนี้ได้รางๆ แล้ว เกรงว่าท่านผู้นั้นแห่งตำหนักคุนหนิงคงจะยกเรื่องนางกำนัลโฉมงามเหล่านี้มาพูดอีกแล้ว
เมื่อเข้ามาในห้อง กงหมัวมัวก็ไล่คนนอกออกไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “พระชายา บ่าวปรนนิบัติพระองค์คลายพระเกศาดีหรือไม่เพคะ”
“อืม”
ลูกปัดลายบุปผาที่หรูหรางดงามวางลงบนโต๊ะอันแล้วอันเล่า กงหมัวมัวมองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยาผ่านคันฉ่องแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง
“พระชายา พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของตำหนักบูรพา ท่านผู้นั้นกับรัชทายาทขัดแย้งกันมานานแล้ว ความไม่เป็นธรรมที่พระชายาทรงได้รับล้วนทำเพื่อรัชทายาท พระองค์อย่าใส่พระทัยไปเลยเพคะ”
“ข้ารู้”
เมื่อก่อนฉู่จิ่นเหยาก็เคยถูกฮองเฮากลั่นแกล้ง แต่ยังไม่ถึงขั้นมีท่าทางเศร้าซึมเพียงนี้ กงหมัวมัวพอจะเดาสาเหตุได้อยู่บ้าง
“พระชายา หรือพระองค์กำลังเป็นทุกข์เรื่องรับอนุ”
ฉู่จิ่นเหยาไม่พูดจา กงหมัวมัวก็อดจะโล่งใจไม่ได้
“พระชายา พระองค์ทรงเป็นผู้ใด จะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางได้อย่างไร รัชทายาททรงรู้การควรมิควรดี มิหนำซ้ำยังทรงยินดีฟังคำพระองค์ นี่นับว่าดีกว่าภรรยาเอกคนอื่นมากเท่าไรแล้ว! สตรีเหล่านั้นก็เป็นแค่ของเล่น ต่อให้พวกนางเจ้าเล่ห์มีมารยาเพียงไร มีหรือจะข้ามหน้าข้ามตาพระองค์ได้”
หลิงหลงรีบดันกงหมัวมัวออกไป ขืนปล่อยให้กงหมัวมัวเกลี้ยกล่อมต่อ ปมในใจคงจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หลังไม่มีใครแล้วหลิงหลงก็ยอบกายลง พิงอยู่ข้างขาฉู่จิ่นเหยา เงยหน้ามองนางด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“พระชายาเพคะ”
หลิงหลงปราดเปรื่องสมชื่อ ไม่กี่ปีมานี้ฉู่จิ่นเหยากับหลิงหลงได้ชื่อว่าเป็นนายบ่าวกัน แต่ในใจฉู่จิ่นเหยาเห็นหลิงหลงเป็นกึ่งพี่สาวแล้ว หลิงหลงมองนางด้วยท่าทางจริงใจ ฉู่จิ่นเหยาจึงวางปราการในใจลง ถามความในใจของตนเองออกมาอย่างสับสน
“หลิงหลง เจ้าก็รู้สึกว่าข้าควรเป็นฝ่ายรับอนุให้รัชทายาทใช่หรือไม่”
หลิงหลงมิได้ตอบในทันที นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปกุมมือฉู่จิ่นเหยา ฝ่ามือทั้งอบอุ่นและมีพลัง “พระชายา นี่เป็นเรื่องระหว่างพระองค์กับรัชทายาท ผู้อื่นพูดอะไรล้วนไม่มีประโยชน์ พระองค์ต้องถามตนเองและรัชทายาท จากที่บ่าวสังเกตมาหลายวันนี้ก็พบว่ารัชทายาททุ่มเทพระทัยต่อพระองค์ยิ่ง หากพระองค์หาสตรีอื่นมาให้รัชทายาทโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เกรงว่ารัชทายาทคงกริ้วเป็นแน่”
ฉู่จิ่นเหยาเคยคิดเสียที่ใด นางพบว่าสภาพจิตใจของตนเองในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่ง นางเตือนตนเองแล้วแท้ๆ ว่าให้รักษาภาระหน้าที่ อย่าได้ถูกความรุ่งโรจน์จอมปลอมบังตา สุดท้ายก็เปลี่ยนไปมีสภาพน่าชิงชังเพราะความริษยา นางไม่อยากตามหึงหวงอนุไปทั้งชีวิตจนไม่มีชีวิตเป็นของตนเองเหมือนจ้าวซื่อ นางไม่อยากเอาแต่คับแค้นใจ ชั่วชีวิตล้วนรอคอยแต่ความอ่อนโยนและ ‘การให้เกียรติ’ เพียงชั่วครู่จากสามีเหมือนสตรีนางอื่น นางอยากเป็นชายารัชทายาทที่สง่าผ่าเผยและงดงาม
ขณะที่เพิ่งแต่งงานย่อมไม่เป็นไร แต่นี่ผ่านมานานแล้ว ฉู่จิ่นเหยาก็รู้แล้วว่าตนเองทำไม่ได้
ฉู่จิ่นเหยาไม่อยากเห็นฉินอี๋ไปหาสตรีอื่นสักนิด ไปยิ้มให้พวกนาง คัดอักษรเป็นเพื่อนพวกนาง มิหนำซ้ำตกค่ำก็ทำเรื่องพรรค์นั้นกับพวกนาง
ในดวงตาฉู่จิ่นเหยามีน้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว หลิงหลงเห็นดวงตาที่งามจนน่าตกตะลึงคู่นั้นมีน้ำตา นางที่เป็นสตรียังรู้สึกปวดใจ จากนั้นก็ตบหน้าผาก ผุดความคิดที่ยอดเยี่ยมออกมาได้
“พระชายา วันนี้ยามพระองค์กลับมามิใช่สำลักลมหนาว ขณะที่เพิ่งเข้าตำหนักมาก็ไออยู่บ้างมิใช่หรือเพคะ เช่นนั้นพระองค์ก็ถือโอกาสแสร้งล้มป่วย บอกว่าตนเองต้องลมเย็นจนไม่สบาย รอรัชทายาทเสด็จกลับมา พระองค์เพียงแสร้งล้มป่วย ส่วนบ่าวจะทูลเรื่องที่ฮองเฮาบีบบังคับให้พระองค์รับอนุกับรัชทายาทเอง ถึงเวลานั้นรัชทายาทย่อมเห็นใจพระองค์ จะต้องแข็งพระทัยรับผู้อื่นมาปรนนิบัติไม่ลงอย่างแน่นอน”
ฉู่จิ่นเหยาได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางสามารถอาศัยอาการป่วยมาหยั่งเชิงความคิดของฉินอี๋ได้พอดี คนทั้งสองหารือกันมั่นเหมาะแล้วก็ลงมือจัดข้าวของทันที