ขณะฉินอี๋กลับมาจากงานเลี้ยงกลางคืนฟ้าก็มืดแล้ว ฮ่องเต้ไม่สนใจงานในราชสำนัก แต่ชื่อเสียงในยามร่วมงานเลี้ยงกลับเป็นที่เลื่องลือไม่น้อย กอปรกับฮ่องเต้ได้พระโอรสในวัยกลางคน ด้วยอายุเท่านี้ของเขาเป็นเรื่องที่ควรค่าให้ภูมิใจจริงๆ ดังนั้นกษัตริย์กับขุนนางต่างยินดี งานเลี้ยงในวันนี้จึงดำเนินอยู่นานยิ่ง
ในโอกาสเช่นนี้ฉินอี๋จึงเลี่ยงการดื่มสุราและคารวะสุราได้ยาก พอดื่มจนฮ่องเต้พอใจแล้ว ฉินอี๋ถึงปลีกตัวออกมาได้ หลังเขาเป็นอิสระก็เดินกลับมายังตำหนักฉือชิ่งทันที ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้มีคนมาอยู่เพิ่มอีกคน พอเขากลับดึกก็มักจะรู้สึกไม่วางใจ
แต่พอฉินอี๋เข้าตำหนักมากลับพบว่าผิดปกติอยู่บ้าง เขาย่อมจำสาวใช้ไม่กี่คนข้างกายฉู่จิ่นเหยาได้ หลิงหลงที่ติดตามข้างกายฉู่จิ่นเหยาเป็นประจำมีสีหน้าจืดเจื่อน ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไร
“มีอะไร” ฉินอี๋ถาม
หลิงหลงยังคงประเมินความกดดันยามเผชิญหน้ากับรัชทายาทต่ำไป นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเบาๆ ราวกับเสียงยุง
“พระชายาคล้ายจะประชวรแล้วเพคะ”
สีหน้าฉินอี๋เปลี่ยนไปทันควัน เขาไม่มัวคำนึงถึงเรื่องเปลี่ยนชุดเข้าเฝ้า โบกมือไล่ขันทีข้างกายเสร็จก็ก้าวเข้าไปด้านในทันที หลิงหลงเดินตามไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน นางเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูห้องบรรทม หูข้างหนึ่งฟังความเคลื่อนไหวด้านใน ทั้งยังไล่คนที่อยู่รายรอบออกไปจนหมด
ฉินอี๋เข้ามาในห้องก็ไม่เห็นเงาของฉู่จิ่นเหยา พอมองผ่านม่านเตียงจึงค่อยเห็นฉู่จิ่นเหยานอนหันหลังให้ เขามิรู้สึกตัวเลยว่าสายตาของตนเปลี่ยนเป็นเฉียบคม แต่เสียงฝีเท้ากลับเบาลง
“จิ่นเหยา เป็นอะไรไป” ฉินอี๋นั่งเบาๆ ลงที่ขอบเตียง มือยื่นออกไปแล้ว แต่กลับหยุดไว้ขณะที่สัมผัสถูกไหล่ของฉู่จิ่นเหยา เขากลัวว่าตนเองจะออกแรงมากเกินไป
ฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ หันมา แก้มแดงปลั่ง “รัชทายาท”
“ไยจู่ๆ ถึงล้มป่วยเล่า เป็นเพราะอะไร เรียกหมอหลวงแล้วหรือยัง”
“ยัง แต่มิจำเป็นต้องยุ่งยากเพคะ”
ฉินอี๋มองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา คิ้วขมวด พูดพลางทำท่าจะลุกขึ้น “จะปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะให้พวกเขาไปรับหมอหลวงเกาเข้าวัง”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินก็รีบดึงแขนเสื้อฉินอี๋ไว้ “รัชทายาท ลงกลอนประตูแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก”
“มีอะไรยุ่งยากกัน เจ้านอนไปอย่างวางใจก็พอ”
“รัชทายาท” ฉู่จิ่นเหยาหมดหนทางจริงๆ ได้แต่ยันกายขึ้นกอดแขนฉินอี๋ ฝืนรั้งเขาที่จะเดินไปด้านนอกไว้ “มิใช่ป่วยหนักอะไร หม่อมฉันนอนห่มผ้าหนาๆ สักคืนก็ดีขึ้นแล้ว จริงๆ เพคะ ไม่ต้องตามคนมาให้มากมาย พระองค์อยู่คุยเป็นเพื่อนหม่อมฉันก็พอ”
ฉินอี๋หยุดอยู่หน้าเตียง มองฉู่จิ่นเหยานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงจริงๆ “ก็ได้”
“รัชทายาท วันนี้หม่อมฉันไปเข้าเฝ้าฮองเฮามา” ฉู่จิ่นเหยาพยายามเข้าประเด็นหลักอย่างแสร้งไม่ตั้งใจเต็มที่ นางมองเห็นบนบ่าฉินอี๋มีเศษกระดาษเล็กๆ สีแดงติดอยู่ คล้ายว่าหล่นมาจากโคมไฟ จึงอดเอื้อมมือไปปัดออกไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันที่นางจะสัมผัสถูกบ่าอีกฝ่าย ฉินอี๋กลับกุมข้อมือนางไว้ เขามองนางนิ่งๆ อีกครู่หนึ่ง บนใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ใดๆ แต่กลับโน้มกายลงใช้ฝ่ามืออังหน้าผากฉู่จิ่นเหยา
ฝ่ามือฉินอี๋เย็นอยู่บ้าง ฉู่จิ่นเหยากะพริบตา รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ฉินอี๋อังอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ กลับไปนั่ง สีหน้าเขายังคงไม่เผยพิรุธใดๆ ฉู่จิ่นเหยาล้มลงนอนบนหมอนสีแดงที่อ่อนนุ่ม เบิกตากว้างมองฉินอี๋ ลืมไปในทันทีว่าตนเองจะพูดอะไร ฉินอี๋สบตาฉู่จิ่นเหยาได้ครู่หนึ่งก็หัวเราะเบาๆ
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้า”
“หม่อมฉัน…”
รอยยิ้มของฉินอี๋ไม่ต่างจากปกติที่แล้วมา แต่ประกายในดวงตากลับทำให้ฉู่จิ่นเหยารู้สึกถึงอันตรายทันที นางเอ่ยอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง ยังไม่ทันได้บอกเล่าสาเหตุ ฉินอี๋ก็พูดต่อจากนางอย่างไม่เร็วไม่ช้า
“เจ้าใจกล้านัก บังอาจแสร้งล้มป่วยต่อหน้าข้า”
ฉู่จิ่นเหยาแน่ใจในทันทีว่าฉินอี๋โมโหแล้ว คิดในใจว่านางถึงกับทำให้เขาโมโหได้ นี่สามารถจดลงสมุดบันทึกคุณความดีได้ทีเดียว ทว่าบัดนี้นางไม่กล้าประมาท จึงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวัง
“รัชทายาท?”
ฉินอี๋ไม่พูดไม่จา แต่สายตาเขาฟาดฟันคนตายได้ทีเดียว หากเป็นขุนนางที่เคยคลุกคลีกับฉินอี๋มาเห็นเข้ารับรองได้ว่าคงต้องตกใจกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าปริปากพูดแล้ว แต่ฉู่จิ่นเหยาไม่ใช่ขุนนางของเขา ดังนั้นพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้นางไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังกล้าใช้ไพ่ตายอันเป็นพรสวรรค์ของสตรีอีกด้วย นั่นก็คือการออดอ้อน
“รัชทายาท พระองค์กริ้วหม่อมฉันแล้วหรือ”
ฉินอี๋ถูกทำให้โมโหไม่น้อยจริงๆ ขณะที่ได้ยินข่าว หัวใจเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายว่าความรู้สึกหนาวยะเยือกแผ่ลามจากศีรษะไปถึงเท้า เขาแทบจะออกคำสั่งให้คนนำป้ายประจำตัวเขาไปเปิดประตูวังแล้วลากตัวหมอหลวงเกาออกมาจากเรือน ส่วนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎวังหรือไม่นั้นใครจะสนใจกัน แต่ฉู่จิ่นเหยาทำให้เขาตกอกตกใจอยู่นานสองนาน สุดท้ายกลับเป็นเรื่องโกหก
ฉินอี๋ทำหน้าเย็นชา ทำท่าจะลุกออกไป ฉู่จิ่นเหยาเห็นท่าไม่ดี หากปล่อยให้เขาจากไปในเวลานี้จริงๆ คงได้ยุ่งยากแล้ว นางโผไปกอดเอวของฉินอี๋ไว้ทันทีโดยไม่คำนึงถึงท่าทาง ฉินอี๋คล้ายว่าร่างแข็งทื่อไปเล็กน้อย ถัดจากนั้นก็คิดจะดึงนางออกไป แต่ฉู่จิ่นเหยาไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงกอดไว้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
“รัชทายาท พระองค์จะไปหรือเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ค. 68