ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 87.1-87.2
บทที่ 87.1 พ่ายแพ้ยับเยิน
เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ฉินอี๋พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาเป็นรัชทายาท โตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องเขา นับประสาอะไรกับส่วนที่ไวต่อความรู้สึกอย่างส่วนกลางลำตัว หลังจากมีฉู่จิ่นเหยา ฉินอี๋ก็ค่อยๆ เปิดเขตหวงห้ามนี้ให้นาง แต่ฉู่จิ่นเหยาก็เพียงแต่จับมือควงแขนในเวลาที่ต้องการออดอ้อนหรือมีเรื่องจะขอร้อง น้อยครั้งที่จะใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้โดยที่สวมเสื้อผ้าอยู่ ฉินอี๋คิดจะดิ้นให้หลุด ทว่ายิ่งขยับฉู่จิ่นเหยาก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น อีกทั้งฉินอี๋ไม่กล้ากระชากนางออกไปจริงๆ กลัวว่าจะลงมือหนักจนทำให้นางบาดเจ็บ สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น
“ข้าไม่ไป เจ้าปล่อยมือก่อน”
“หม่อมฉันไม่ปล่อย พระองค์ต้องคิดจะไปหาผู้อื่นเป็นแน่ ถึงได้จงใจมาว่าหม่อมฉัน”
นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉินอี๋ถูกกล่าวหากลับก็รู้สึกงุนงง เขาร่างแข็งทื่อ ไม่คุ้นชินกับการสัมผัสทางกายที่สนิทสนมเช่นนี้ ปกติที่ผ่านมายามอยู่บนเตียงหรือไม่ก็บนตั่งล้วนเป็นเขาที่เป็นฝ่ายกระทำ ความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายถูกกอด มิหนำซ้ำเนื่องจากท่าทาง ลำตัวท่อนบนของฉู่จิ่นเหยาจึงเบียดกับส่วนกลางลำตัวของเขา เมื่อออกแรงก็ยิ่งแนบแน่น ฉินอี๋หมดปัญญาแล้วจริงๆ ได้แต่พยายามผ่อนคลายร่างกาย ยกมือโอบไหล่ฉู่จิ่นเหยาไว้
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ไม่ไปจริงๆ เจ้าปล่อยมือก่อน…” ฉินอี๋พูดจบก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนรีบก้มลงไปเชยคางของฉู่จิ่นเหยา “เจ้าร้องไห้หรือ”
ฉู่จิ่นเหยาหลบมือของฉินอี๋ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง “หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้!”
สิ่งที่ทำให้ฉินอี๋กลัวได้บนโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อย่าง และน้ำตาของสตรีก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาถอนหายใจ “ไม่เคยเห็นใครกล่าวหาคนกลับได้เก่งเท่าเจ้าจริงๆ เป็นเจ้าหลอกลวงคนแท้ๆ ข้ายังไม่ทันว่าอะไรเจ้าก็ร้องไห้แล้ว”
ฉู่จิ่นเหยาก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมา ฉินอี๋ใจอ่อนนานแล้ว ค่อยๆ โอบไหล่ของฉู่จิ่นเหยาแล้วนั่งลง ไฉนเลยจะยังจำได้ว่าตนเองต้องโมโหอยู่ หลังนั่งลงดีแล้วเขาก็เช็ดน้ำตาให้ฉู่จิ่นเหยา
“พอแล้ว ข้าไม่คิดจะดุเจ้า ไม่ต้องร้องแล้ว”
“พระองค์ไม่ไปแล้วหรือ” ฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ หยุดร้องไห้ เหลือบตามองเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
ไม่ว่าใครถูกดวงตาเช่นนี้มองล้วนโมโหไม่ลง เดิมทีฉินอี๋เคยคิดว่ามีเพียงคนจำพวกบิดาของเขาเท่านั้นที่ถูกน้ำตาสตรีทำให้หวั่นไหว ขอเพียงเป็นผู้ทำการใหญ่จิตใจหนักแน่นล้วนไม่มีทางหวั่นไหว แต่ครั้นถึงคราวตนเองถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เขาก็ไม่มีหลักการเช่นเดียวกัน ฉินอี๋ฟังที่ฉู่จิ่นเหยาพูดแล้วก็ทั้งปวดใจและขบขัน
“ที่นี่เป็นตำหนักของข้า ข้าจะไปที่ใดได้”
คิดไม่ถึงว่าฉู่จิ่นเหยาได้ยินคำตอบนี้แล้วหาได้ดีใจไม่ ยังคงเศร้าซึมอยู่เช่นเดิม “รัชทายาท พระองค์รู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
สิ่งที่นางต้องการย่อมมิใช่คำตอบ ‘วันที่แปดเดือนหนึ่ง’ แน่นอน ฉินอี๋เลิกคิ้วน้อยๆ เขาย้อนนึกเงียบๆ ว่าช่วงนี้มีเรื่องอะไรที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฉู่จิ่นเหยาได้อีก โชคดีที่เขาได้รับคำชมจากราชครูมาตั้งแต่เล็กว่าฉลาดมีไหวพริบ ความจำเป็นเลิศ เขาจึงคิดเชื่อมโยงได้อย่างรวดเร็ว
“วันนี้เป็นวันที่พวกเราแต่งงานกันครบหนึ่งเดือน”
หลังฉู่จิ่นเหยาได้ยินคำตอบนี้ยิ่งเศร้าซึมหนัก “รัชทายาท สำหรับพระองค์นี่เป็นวันแต่งงานครบหนึ่งเดือน แต่สำหรับหม่อมฉันนี่เป็นวันสิ้นสุดกฎระเบียบของบรรพชน เป็นวันที่หม่อมฉันควรตระเตรียมอนุและสาวใช้ให้พระองค์”
คราวนี้ฉินอี๋ถึงค่อยนึกได้ ในวังหลวงมีกฎว่าแต่งงานเดือนแรกห้ามค้างคืนข้างนอกจริงๆ นี่เป็นการปฏิบัติที่ภรรยาเอกคนแรกเท่านั้นที่จะได้รับ ถึงจะเป็นฮองเฮา แต่ถ้ามาทีหลังก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทว่าอันที่จริงกฎของบรรพชนข้อนี้วางไว้ให้ดูดีเท่านั้น บุรุษสกุลฉินมีไม่กี่คนที่จะเห็นเป็นจริงเป็นจัง
คำพูดนี้ของฉู่จิ่นเหยารวมกับที่เมื่อครู่นางบอกว่าไปตำหนักคุนหนิงของฮองเฮามา ฉินอี๋ก็รู้ได้ไม่ยากว่าความผิดปกติในวันนี้มีที่มาจากที่ใด ฉินอี๋เชยคางฉู่จิ่นเหยาขึ้นมา แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจอย่างยิ่ง
“นางบีบบังคับให้เจ้ารับอนุให้ข้าหรือ”
“จำเป็นต้องบีบบังคับเสียที่ใดกัน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ” ฉู่จิ่นเหยาอยากจะดึงคางของตนกลับมา แต่นางขยับเพียงเล็กน้อยก็ถูกฉินอี๋ยึดไว้ด้วยมือที่มั่นคง สุดท้ายฉู่จิ่นเหยาก็ยอมแพ้ นางหลุบตาลง ไม่สบตากับฉินอี๋ “รัชทายาท นี่เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว พระองค์เป็นรัชทายาท ไม่ต้องพูดถึงสนมชายาเต็มตำหนัก อย่างน้อยสามภรรยาสี่อนุก็พึงมี อีกไม่กี่วันหม่อมฉันต้องคัดเลือกสตรีตระกูลสูงศักดิ์เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถ ชาติกำเนิดดี อีกทั้งอ่อนโยนเป็นกุลสตรีจากตระกูลขุนนางใหญ่มาเป็นเสวี่ยนซื่อ* หม่อมฉันไม่ใช่ภรรยาที่ดี ไม่อาจถกเรื่องวรรณกรรมประวัติศาสตร์รวมถึงดีดพิณเดินหมากเป็นเพื่อนพระองค์ได้ และไม่สามารถช่วยพระองค์ใคร่ครวญเรื่องในราชสำนักได้เช่นกัน ทว่าโชคดีที่ยังมีสตรีอื่น พวกนางแตกฉานตำรับตำรา จะต้องได้รับความโปรดปรานจากรัชทายาทยิ่งกว่า”
ฉินอี๋ทำท่าคล้ายตรึกตรอง “ที่แท้นี่ก็เป็นสาเหตุให้เจ้าแสร้งล้มป่วยในวันนี้”
“รัชทายาท!” ฉู่จิ่นเหยาราวกับพองขนในชั่วพริบตา “พระองค์ได้ฟังหรือไม่ว่าหม่อมฉันกำลังพูดอะไร!”
เดิมทีฉินอี๋อยากจะคงความน่าเกรงขามของผู้เป็นรัชทายาทและสามีไว้ แต่พอได้ยินวาจาของฉู่จิ่นเหยา เขาก็กลั้นขำไม่ไหว ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับ ยิ้มพลางมองนาง
“เจ้ากล้าแผดเสียงใส่ข้าเช่นนี้ ยังต้องกลัวเรื่องพวกนี้อีกหรือ”
ฉู่จิ่นเหยามองตาฉินอี๋ ลอบตกตะลึงในความงดงามของดวงตาคู่นี้ ทว่าราวกับเป็นกฎเหล็กตามธรรมชาติ สิ่งที่ยิ่งงดงามจะยิ่งอันตราย ดวงตาคู่นี้ยิ้มให้นางได้ แต่ก็มองใต้หล้าอย่างเยาะเย้ยได้เช่นกัน คำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถตัดสินชะตาของตระกูลหนึ่ง พระราชทานความเป็นความตายได้ตามใจชอบ
ฉินอี๋มองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา ค่อยๆ เก็บงำกิริยาเจ้าชู้ของตนลงไป ประคองใบหน้านางไว้อย่างอ่อนโยนและจริงจัง ขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ จวบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ขนตาแทบจะสัมผัสกัน
ฉู่จิ่นเหยากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ฉินอี๋มองดูท่าทางประหม่าของนางก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “วางใจเถิด ข้าไม่มีคนอื่นแน่นอน”
“พระองค์ทรงหลอกหม่อมฉัน”
“จริงๆ” ฉินอี๋กล่าว “ฐานะของตำหนักบูรพาลึกลับซับซ้อน ไม่เหมาะจะผูกสัมพันธ์กับขุนนางในราชสำนักลึกซึ้งไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ห่วงได้น้อยแต่ห่วงแบ่งไม่เท่า อำนาจในราชสำนักพัวพันกันยุ่งเหยิง อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจเลือกบุตรสาวของขุนนางใหญ่เข้ามาทั้งหมดได้ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะรับแม้แต่คนเดียว”
“เช่นนั้นนางกำนัลเล่า สตรีในวังก็เป็นสตรีตระกูลดีบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ผ่านการคัดเลือกหลายขั้นจากในหมู่ราษฎรเช่นกัน ในจำนวนนี้ไม่ขาดแคลนโฉมงามมากความสามารถ พวกนางเล่า”
ฉินอี๋เย่อหยิ่งไร้เทียบเทียม เผยแววตาดูแคลนออกมาจริงดังคาด “รัชทายาทอย่างข้าไม่เห็นอยู่ในสายตา”
ฉู่จิ่นเหยาทนไม่ไหวในที่สุด หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
Comments
