ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 88.1-88.2
บทที่ 88.1 สายลมเกิดเหนือยอดแหน
เดือนสอง ในวังมีโคมไฟและผ้าหลากสีประดับประดาทั่วทุกหนแห่ง วันนี้เป็นวันออกเรือนขององค์หญิงใหญ่ ย่อมต้องคึกคักครึกครื้น
ฉู่จิ่นเหยาสวมชุดเข้าเฝ้าสำหรับชายารัชทายาท แย้มยิ้มพลางตบหลังมือองค์หญิงใหญ่เบาๆ จากนั้นก็หลบออกมาให้แม่นมมงคล คลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงให้องค์หญิงใหญ่ เมื่อพิธีในวังเสร็จสิ้น ฉู่จิ่นเหยาก็นั่งรถม้าไปยังจวนองค์หญิงหรู่หนิง
องค์หญิงใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหรู่หนิง อภิเษกสมรสกับไฉอันคุณชายเล็กของอี๋ชุนโหวสกุลไฉ องค์หญิงหรู่หนิงเป็นองค์หญิงพระองค์แรกในวัง พิธีอภิเษกสมรสของนางแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไต่ถามอยู่หลายครา จึงย่อมยิ่งใหญ่มากเป็นธรรมดา ฉู่จิ่นเหยามีฐานะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงหรู่หนิง พิธีจะขาดใครไปก็ได้แต่ต้องมิใช่นาง ฉู่จิ่นเหยามาที่ตำหนักขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเอง คอยอยู่ข้างๆ ยามองค์หญิงใหญ่หวีผม ประทินโฉม และเปลี่ยนชุดเจ้าสาว หลังจากนั้นยังไปร่วมสร้างความน่าเกรงขามยังจวนองค์หญิงหรู่หนิงด้วย มีชายารัชทายาทมาส่งเจ้าสาวด้วยตนเอง นี่เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาพิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงทุกยุคสมัย
ถึงแม้ฉู่จิ่นเหยาจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ แต่ขณะเดียวกันนางก็เป็นถึงชายารัชทายาท ยามไปร่วมพิธีจะไปเร็วไม่ได้เป็นอันขาด กว่ากองเกียรติยศและรถม้าของนางจะมาถึงจวนองค์หญิงหรู่หนิง คนที่มาร่วมพิธีต่างก็มาถึงกันไม่น้อยแล้ว ส่วนคนสกุลไฉได้รับข่าวอยู่นานแล้ว ล้วนมารอกันอยู่ที่หน้าประตูรอง
นี่คือความแตกต่างของการได้แต่งงานกับองค์หญิงของราชวงศ์ สถานที่จัดพิธีแต่งงานโดยทั่วไปล้วนเป็นบ้านฝ่ายชาย แต่องค์หญิงนั้นไม่เหมือนกัน องค์หญิงมีจวนของตนเอง หาได้อาศัยร่วมกับคนในบ้านสามีไม่ ดังนั้นในวันอภิเษกสมรส แขกผู้มีเกียรติตัวจริงล้วนอยู่ที่จวนองค์หญิงหรู่หนิง แม้ที่จวนอี๋ชุนโหวจะจัดงานเลี้ยงเช่นกัน แต่ก็ต้องแบ่งคนบางส่วนมาที่จวนองค์หญิงหรู่หนิงเพื่อต้อนรับแขกจากราชวงศ์
ในห้องโถงงานเลี้ยงบรรดาสตรีพร้อมคนในครอบครัวเดิมทีกำลังสนทนากันอย่างออกรส จู่ๆ ได้ยินว่าชายารัชทายาทมาถึงแล้ว ในห้องโถงใหญ่ก็เงียบกริบ คนทั้งหมดต่างมองไปที่ประตู
ฉู่จิ่นเหยาสวมชุดพิธีการสีแดงตามตำแหน่งชายารัชทายาท ค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมด้วยฮูหยินใหญ่ของสกุลไฉ ครั้นเหล่าฮูหยินที่อยู่ด้านในเห็นว่าเป็นชายารัชทายาทจริงๆ ก็พาบุตรสาวทั้งหลายมาทำความเคารพฉู่จิ่นเหยา
“ถวายบังคมชายารัชทายาท”
คำกล่าวทักทายดังอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินผู้หนึ่งพบว่าชายารัชทายาทถึงกับยิ้มมาทางตนเองก็มีสีหน้าเปล่งประกายทันที แต่ความจริงแล้วผู้ที่กล่าวทักทายมีมากเกินไป ฉู่จิ่นเหยาจำหน้าคนเหล่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
นางไปเยี่ยมเจ้าสาวในห้องหอก่อน จากนั้นถึงกลับมาร่วมงานเลี้ยงที่ห้องโถงด้านหน้า บัดนี้ยังไม่ถึงฤกษ์งามยามดี งานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาพบปะสนทนาอันล้ำค่าของบรรดาสตรี
ผู้ที่อยากคุยกับฉู่จิ่นเหยามีนับไม่ถ้วน ฉู่จิ่นเหยาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงหรู่หนิง ต้องช่วยหนุนหลังน้องสาวสามี ดังนั้นจึงยิ้มแย้มให้ฮูหยินใหญ่สกุลไฉตลอดเวลา แม้แต่บรรดาคุณหนูของจวนอี๋ชุนโหวมาคารวะ นางก็เรียกมาคุยสองสามคำเช่นกัน
คนของจวนอี๋ชุนโหวต่างมีสีหน้าเปล่งประกายขึ้นมาในชั่วขณะ คุณหนูสกุลไฉเหล่านี้ยิ่งมีหน้ามีตาต่อหน้าสหาย ลิงโลดเหลือประมาณ พอได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับคนในราชวงศ์ก็แตกต่างไปจากเดิมแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนพวกนางจะมีโอกาสได้พูดคุยกับชายารัชทายาทเช่นนี้หรือ
มีฮูหยินมาถวายบังคมไม่ขาดสายครั้งแล้วครั้งเล่า มิหนำซ้ำพวกนางยังพาบุตรสาวของตนเองมาให้ฉู่จิ่นเหยาดู ฉู่จิ่นเหยาได้เห็นสตรีงดงามเปล่งปลั่งเป็นประกายมากเพียงนี้ในคราเดียวก็แทบจะตาลาย ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งถอยไปแล้ว ฉู่จิ่นเหยาเล็งเห็นโอกาสก็รีบพาคนเดินออกมา
ฮูหยินพวกนี้พูดเก่งกันโดยแท้ ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นอย่างไร แต่คนฟังอย่างฉู่จิ่นเหยานั้นเหน็ดเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว ฉู่จิ่นเหยาพาคนมาพักในที่เงียบสงบ ไม่ง่ายกว่าจะรู้สึกว่าหูของตนเองดีขึ้น ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากนอกศาลา
“ชายารัชทายาท”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงนี้ก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “พี่หญิงใหญ่!”
ฉู่จิ่นเสียนเดินยิ้มมาหา หยุดอยู่ห่างไปสามก้าว ทำท่าจะจัดเสื้อผ้าคารวะ แต่กลับถูกฉู่จิ่นเหยาห้ามไว้ “พี่หญิงใหญ่ นี่ท่านทำอะไร!”
“มารยาทละเว้นมิได้ บัดนี้พระองค์ทรงเป็นชายารัชทายาท มิอาจละเว้น”
“ท่านยังตั้งครรภ์อยู่ ข้าจะปล่อยให้ท่านคารวะข้าได้อย่างไร”
ฉู่จิ่นเหยาพูดเป็นเชิงต่อว่า ก่อนสั่งให้เจี๋ยเกิ่งหยิบผ้าห่มขนสัตว์มาด้วยความดีใจแล้วประคองฉู่จิ่นเสียนให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง
“พี่หญิงใหญ่ หลานน่าจะอายุห้าเดือนแล้วกระมัง”
“ใช่แล้วเพคะ” เมื่อเอ่ยถึงบุตรในครรภ์ ฉู่จิ่นเสียนก็แย้มยิ้มนุ่มนวล ใบหน้ามีประกายอ่อนโยนของผู้เป็นมารดาแผ่ออกมา “เมื่อปีก่อนตั้งครรภ์ได้สามเดือนถึงกล้าส่งข่าวให้ทางบ้าน เวลานั้นครรภ์ยังไม่มั่นคง ไม่อาจออกไปข้างนอก จึงไปร่วมพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ไม่ได้”
แม้การที่พี่หญิงใหญ่ไม่ได้มาส่งนางยามออกเรือนจะน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้เทียบกับหลานชายหรือหลานสาวในครรภ์ของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่นับเป็นอะไร ตั้งแต่ฉู่จิ่นเสียนออกเรือนไป พวกนางสองพี่น้องก็ได้พบกันน้อยครั้งนัก ต่อมาพอฉู่จิ่นเหยาได้รับพระราชทานสมรส หลังจากนั้นก็ย้ายมาเมืองหลวง พวกนางสองพี่น้องก็ยิ่งได้พบหน้ากันยากกว่าขึ้นสวรรค์ พอนับดูแล้วพวกนางสองพี่น้องไม่ได้พบกันมาหนึ่งปีเต็ม
Comments
