สตรีที่เขาพะเน้าพะนอตามใจ ไม่เคยพูดให้ระคายน้ำใจแม้เพียงคำเดียว ไยถึงถูกผู้อื่นทรมานจนเป็นเช่นนี้ หลังยกถ้วยยาออกไปแล้ว หลิงหลงกับกงหมัวมัวก็ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ฉินอี๋อังหน้าผากนางก่อน จากนั้นก็กุมมือฉู่จิ่นเหยาไว้ เห็นนางตัวอุ่นขึ้นแล้วถึงได้มีแก่ใจถามเรื่องในวันนี้
“เจ้าตกลงไปในน้ำได้อย่างไร”
พูดถึงเรื่องนี้ฉู่จิ่นเหยาก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันคอยระวังอยู่ตลอด แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าผู้อื่นไม่ได้ลงมือกับหม่อมฉัน แต่กลับไปผลักเหลียนผินแทน เหลียนผินกับหม่อมฉันยืนอยู่ใกล้กัน พอนางตกน้ำจึงคว้าคนใกล้ตัวไว้ทันที หม่อมฉันมัวแต่ป้องกันด้านหลัง คิดไม่ถึงว่าจะถูกเหลียนผินกระชากจากด้านหน้า พอเป็นเช่นนี้หม่อมฉันจึงตกลงไปด้วย อันที่จริงหม่อมฉันว่ายน้ำเป็น หากมิใช่ถูกเหลียนผินพันรัด หม่อมฉันต้องแช่อยู่ในน้ำนานเพียงนั้นหรือ”
ฉินอี๋ฟังแล้วไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดอะไร เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วพูดอย่างจนใจยิ่ง “สตรีมากคนช่างยุ่งยากโดยแท้ ไม่รู้เช่นกันว่าเขารับเข้ามาไว้ข้างหลังมากมายปานนี้ ทั้งวันเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันไปมา มีประโยชน์อันใด”
ฉู่จิ่นเหยายิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ ฉินอี๋เป็นรัชทายาท เขาต่อว่าฮ่องเต้ได้ แต่นางกลับทำไม่ได้ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งความอยากรู้อยากเห็นของฉู่จิ่นเหยาก็ชนะ นางเห็นในห้องไม่มีใครจึงกระซิบถามฉินอี๋
“รัชทายาท พระองค์คิดว่าวันนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่”
“หืม?”
“ก็นางกำนัลผู้นั้นบนเรือวันนี้ ร่ายรำอยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้โดยอธิบายสาเหตุไม่ได้เล่า มิหนำซ้ำไฟนั้นก็แปลกประหลาด อยู่ในน้ำยังลุกไหม้อยู่สักพักกว่าจะดับ แล้วเรื่องของเหลียนผิน นางเป็นอย่างไรแล้ว”
“เรื่องนี้ต้องถามคนที่วางแผนจุดไฟ” ฉินอี๋ชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ส่วนเหลียนผินนางน่าจะแค่พลอยเดือดร้อนไปด้วย”
คำตอบนี้มีเรื่องราวแฝงอยู่มากเหลือเกิน ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ว่าควรประหลาดใจกับเรื่องใดดี “พระองค์หมายความว่าเรื่องไฟไหม้วันนี้มีคนจงใจทำหรือ ส่วนเหลียนผินถูกคนฉวยโอกาสผลักเอาเท่านั้น นี่…หม่อมฉันไม่รู้แล้วว่าควรบอกว่าใครเคราะห์ร้ายกว่ากัน”
เห็นได้ชัดว่าฉินอี๋กำลังขบคิดอยู่เช่นกัน คนทั้งสองนั่งพิงกันเงียบๆ ต่างคนต่างคิด ผ่านไปครู่หนึ่งฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยขึ้นอีก
“รัชทายาท หม่อมฉันลองนึกย้อนดูดีๆ ดูจากการแสดงออกของนางระบำผู้นั้นในวันนี้ นางเหมือนไม่รู้เรื่องมาก่อน ในเมื่อคนร่ายรำยังไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นชายกระโปรงของนางเกิดไฟไหม้อย่างกะทันหันได้อย่างไร ภายใต้สายตาของคนมากมายจับจ้อง บนเรือไม่มีเชื้อไฟใดๆ มิหนำซ้ำไฟก็ลุกไหม้ฉับพลันในขณะนางระบำหมุนกาย ไม่ได้มีคนจงใจจุดไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนประหลาดยิ่งนัก เหมือนกับว่าไฟนั้นลุกไหม้ได้เอง หากนี่เป็นฝีมือคน เช่นนั้นคนอยู่เบื้องหลังทำได้อย่างไรเล่า”
ฉินอี๋ยิ้มพลางมองมาที่นาง “ข้าบอกว่าเป็นฝีมือคนทำเจ้าก็เชื่อจริงๆ ถ้าเกิดเป็นไฟประหลาดที่สวรรค์ส่งมาเล่า”
ฉู่จิ่นเหยาถูกย้อนถามจนมึนงงอยู่บ้าง แม้จะเป็นเช่นนี้นางยังคงมั่นใจในสายตาของตนเอง “รัชทายาทบอกว่าเป็นฝีมือคนทำย่อมใช่แน่นอน”
ฉินอี๋ถูกสายตาเชื่อมั่นเช่นนี้จ้องมอง ภายในใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์เหี้ยมเกรียมเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เขาถอนหายใจเบาๆ จนปัญญากับจุดอ่อนนี้ของตนเอง จากนั้นก็โอบฉู่จิ่นเหยาแน่น ครู่ต่อมาก็พูดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
“พวกเขาคิดจะทำอะไรรอดูไปก็พอ”