แม่นางเฉียวพิงต้นไห่ถังด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าได้ยินว่าสมุหราชเลขาธิการหลันซานกับภรรยารักใคร่กันลึกซึ้ง เขาไม่รับอนุนางบำเรอและให้กำเนิดบุตรชายคนเดียวคือหลันซงเฉวียน ทว่าหลันซงเฉวียนกลับต่างจากบิดาไปไกลคนละโยชน์ มีอนุนางบำเรอนับไม่ถ้วนและบุตรชายบุตรสาวมากมาย แม้หลันซีหนงจะเป็นบุตรสาวสายเลือดภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่สำหรับเขาแล้ว เกรงว่าคงมิได้มีความสลักสำคัญดังเช่นคุณหนูโอวหยางคิดจริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่อาจเทียบได้กับน้ำหนักของบิดาท่านในใจของท่านแม้สักเศษเสี้ยว คุณหนูโอวหยางเป็นคนฉลาด ลองตรองดูว่าการค้าขายเช่นนี้คุ้มค่าหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่อึ้งงันไปโดยสิ้นเชิง
“เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องของบิดาท่านยังไม่ได้ตัดสินชี้ขาด คุณหนูโอวหยางก็ลงมือกับหลันซีหนง ไหนเลยจะรู้ว่าสมุหราชเลขาธิการกับบุตรชายจะอ้างเหตุนี้จัดการบิดาท่านอย่างเหี้ยมโหดขึ้นไปอีกขั้นหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่สะดุ้งเฮือก
เฉียวเจาทอดสายตาไปทางศาลา ดวงตาทอแววลึกล้ำ “คุณหนูโอวหยางบอกว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง คำกล่าวนี้ไม่ผิด ข้าทนดูเด็กสาวในวัยแรกแย้มงามสะพรั่งผู้หนึ่งจบชีวิตลงอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ คนผู้นั้นมิใช่แค่หลันซีหนง ยังมีท่านด้วยคุณหนูโอวหยาง”
นางเคยตายแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ถึงยิ่งรู้ว่าชีวิตล้ำค่าเพียงใด
มิใช่ว่าคนจะตายไม่ได้ ทว่าต้องตายอย่างมีคุณค่า ถึงโอวหยางเวยอวี่วางยาพิษสังหารหลันซีหนงได้แล้วจะมีความหมายใดเล่า
อย่างมากหลันซานกับบุตรชายคงเศร้าโศกเสียใจบ้าง ต่อจากนั้นคนที่ให้ร้ายขุนนางสุจริตก็ยังคงให้ร้ายขุนนางสุจริตอีก คนต้นคิดอุบายโฉดชั่วก็ยังคงออกอุบายโฉดชั่วต่อไป ส่วนราคาที่ต้องจ่ายในครานี้มีเพียงชีวิตของเด็กสาวสองคนรวมกับเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต้องพบกับความเดือดร้อน
“แล้ว…แล้วถ้าพวกเขาทำให้ท่านพ่อข้าตายล่ะ ข้าขอยอมตายดีกว่าปล่อยให้คนที่ให้ร้ายท่านพ่อข้ายังคงลอยนวลต่อไป” โอวหยางเวยอวี่พูดพึมพำ
ทีแรกนางตกลงปลงใจพลีชีพวางยาพิษสังหารหลันซีหนง ครั้นได้ยินถ้อยคำของเฉียวเจา จู่ๆ นางก็สับสนว้าวุ่นใจขึ้นมา
นางเอาชีวิตหนึ่งแลกชีวิตหนึ่ง กลับปราศจากความหมายสักนิดดังที่คุณหนูหลีซานพูดจริงๆ หรือ
เฉียวเจามองโอวหยางเวยอวี่นิ่งๆ พลางกล่าวทอดถอนใจ “ถ้าไม่กลัวแม้แต่ความตาย เช่นนั้นก็ยิ่งต้องพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อคิดให้ดีๆ ว่าสมควรทำเช่นไรกันแน่จึงจะมีคุณค่า มิใช่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ในสวนที่เต็มไปด้วยสิ่งสวยงามแห่งนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่นชั่ววูบ”
โอวหยางเวยอวี่นิ่งเงียบไป
“เรื่องที่แต่ละคนต้องการทำ ผู้อื่นเพียงยับยั้งได้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่อาจยับยั้งไปได้ชั่วชีวิต คุณหนูโอวหยางไตร่ตรองให้ละเอียดเถิด ข้ากลับไปก่อนล่ะ”
เฉียวเจากล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วก้าวขาเดินไปทางศาลา แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็เหลียวกลับมา “จริงสิ คุณหนูเจียงที่อีกประเดี๋ยวจะทดสอบข้าผู้นั้น คุณหนูโอวหยางคุ้นเคยกับนางหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่งงงันไป เมื่อตั้งสติได้อีกครา เด็กสาวที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องผู้นั้นก็เดินเอ้อระเหยไปไกลแล้ว
เฉียวเจาเพิ่งย่างเท้าเข้าไปในศาลา ตู้เฟยเสวี่ยก็มุ่นคิ้วกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหลีซาน ท่านหายไปที่ใดมา เมื่อครู่นี้หาท่านไม่พบ ข้าเลยสั่งคนไปตามหาท่านแล้ว”
“ไปห้องเวจเสร็จ จากนั้นก็เดินเล่นตามสบาย”
“อ้อ เช่นนั้นไฉนไม่บอกกล่าวกันสักคำเล่า” ตู้เฟยเสวี่ยต่อว่าต่อขาน
เฉียวเจาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปห้องเวจก็ต้องรายงานด้วยหรือ”
“ท่าน…” ตู้เฟยเสวี่ยโดนตอกกลับก็กระอักกระอ่วนใจสุดจะกล่าว
หลันซีหนงเห็นเช่นนั้นจึงส่งเสียงตัดบท “เอาล่ะ คุณหนูหลีซาน ในเมื่อท่านกลับมาแล้วก็เฉลยคำโคลงวรรคหลังเถอะ”
“หือ?”
ตู้เฟยเสวี่ยกระแอมกระไอก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องเป็นอย่างนี้ ทั้งสองฝ่ายล้วนคิดคำโคลงวรรคหลังไม่ออกจึงถือว่าเสมอกัน ก็เลยรอท่านเฉลยคำโคลงวรรคหลังน่ะสิ”
เมื่อเห็นทุกคนจ้องตาโต เฉียวเจาถึงได้อ้าปากพูด “คำโคลงคู่บทนี้ ข้ามีวรรคหลังอยู่ประโยคหนึ่ง แต่ไม่นับว่าดี…”
“พูดมากอยู่ได้ ให้ท่านเฉลย ท่านก็เฉลยเป็นพอ” หลันซีหนงกล่าวเสียงมึนตึง
แม่นางเฉียวกระตุกมุมปาก นึกในใจว่า คุณหนูผู้นี้กระทำตัวได้น่าชังดีแท้ รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้คุณหนูโอวหยางจัดการเสีย
“วรรคแรกคือ ‘เฝ้ามองฟ้า ฟ้าแลตะวัน วันวันเฝ้าแลฟ้ามองตะวัน’ ” เฉียวเจากวาดสายตาผ่านเด็กสาวแต่ละคนไปช้าๆ สุดท้ายหยุดที่ใบหน้าของตู้เฟยเสวี่ยพร้อมกับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต่อคำโคลงวรรคหลังว่า ‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’ ”