พอคิดไปอย่างนี้ ทุกคนพลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ คนที่ใจเสาะหลั่งเหงื่อเย็นอย่างขวัญเสียทันที
“คุณหนูหลีซานกล้าลองดูหรือไม่” เจียงซือหร่านยิ้มกริ่มพลางเอ่ยถาม ทำสีหน้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมจำนน
ตอนเผชิญกับการกลั่นแกล้งของหลันซีหนงหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เฉียวเจามีท่าทางนิ่งเฉยเยือกเย็นเสมอ แต่เพลานี้สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนไปแล้ว
จะบอกว่านางขี้ขลาดใช่หรือไม่ หามิได้
ขอแค่เจียงซือหร่านเปลี่ยนวิธีท้าดวลเป็นอะไรสักอย่างก็ได้ตามใจชอบ ล้วนไม่อาจทำให้นางลังเลถอดใจ แต่เป็นเป้ายิงธนูกลับต่างออกไป
ความเจ็บปวดจากลูกธนูเสียบทะลุอกดอกนั้น ใต้หล้านี้ยังมีใครเป็นดั่งนางที่เคยได้ลิ้มรสของมันแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า
เมื่อก่อนนางไม่ชำนาญทักษะการขี่ม้า เรียนวิชาหมัดมวยก็ไม่สำเร็จ มีเพียงยิงธนูอย่างเดียวที่พออวดใครได้ ทว่าตั้งแต่ฟื้นคืนชีพ พอเห็นธนูอีกครั้งก็จะหนาวยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กายโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากเข้าใกล้มันแม้สักนิด
เฉียวเจามองเด็กสาวที่ยิ้มพรายแล้วถอนใจเบาๆ
คุณหนูเจียงผู้นี้จับจุดอ่อนร้ายแรงของข้าได้โดยไม่ตั้งใจจริงๆ!
แต่ว่า…
เฉียวเจากลอกตาชำเลืองมองโค่วจื่อโม่ปราดหนึ่ง นางเคยพูดไว้ว่าไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาสพบกับพี่ชายผ่านทางโค่วจื่อโม่ให้ได้ เช่นนั้นยังจะมีโอกาสใดดีไปกว่าตอนนี้เล่า
เจียงซือหร่านสร้างปัญหายากเย็นใหญ่หลวงให้นาง แต่ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่นางด้วย เทียบกับได้พบพี่ชาย อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญรวมถึงความตายและความกลัวของนาง
“หากคุณหนูหลีซานไม่กล้าทดสอบก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครผ่านบททดสอบที่ข้าคิดขึ้นได้ แต่ยังคงเป็นคนของชุมนุมฟู่ซานได้ดังเก่า”
คุณหนูหลายคนในที่นั้นที่โชคไม่ดีเคยสุ่มได้ไม้ติ้วตัวอักษร ‘เจียง’ มาก่อนพากันหน้าเปลี่ยนสีอย่างหวาดผวาไม่หาย สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาแฝงความเห็นใจตามประสาคนหัวอกเดียวกันเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ได้” ทว่ายามนั้นเองเฉียวเจาก็พูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง
เด็กสาวคนอื่นไม่นึกไม่ฝันว่าเฉียวเจาจะกล้าตอบรับ มีคนไม่น้อยอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“น้องหลีซาน รองหัวหน้าชุมนุมตั้งหัวข้อทดสอบชาวชุมนุมคนใหม่เพียงเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในงานสังสรรค์ มิได้เป็นการบังคับ หากท่านไม่เต็มใจ ก็อย่าฝืนใจตัวเองเลย” ซูลั่วอีเดินออกมาคล้องแขนนางพลางกล่าวเสียงขรึม
“ใช่” จูเหยียนก็ก้าวออกมาด้วย
เห็นรองหัวหน้าชุมนุมสองคนเอ่ยปาก จึงมีคนผสมโรงขึ้นไม่น้อย
หลันซีหนงเหยียดมุมปากลอบคิดคำนึง การประชันต่อบทคำโคลงคู่ครั้งเดียวกลับทำให้คุณหนูหลีซานผู้นี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้แล้ว ช่างเป็นโอกาสที่ดีของนางเหลือเกินจริงๆ
ด้านสวี่จิงหงมองดูอยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมยมาโดยตลอด หากในใจนึกกังขา ดูจากการกระทำก่อนหน้าของคุณหนูหลีซานไม่คล้ายคนอวดเก่ง นางทำเช่นนี้มีความหมายใด หรือจะบอกว่าไม่กล้าล่วงเกินเจียงซือหร่านเท่านั้นเอง
“น้องเจา เจ้าอย่าอวดเก่งจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะกลับไปอธิบายกับพวกท่านพ่อท่านแม่อย่างไร” หลีเจี่ยวที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่นานอ้าปากพูดขึ้น
“พี่เจี่ยวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือยิงธนูของคุณหนูเจียง” เฉียวเจาพูดจบแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย จากนั้นก้าวขาเดินไปยืนนิ่งตรงกลางลาน พลางบอกเสียงราบเรียบ “คุณหนูเจียง หากท่านเตรียมพร้อมแล้วก็เริ่มต้นได้เลย”
“คุณหนูตู้ มีลูกธนูหัวทู่กระมัง” เจียงซือหร่านไต่ถาม
“มีสิ” ตู้เฟยเสวี่ยสะกดความตื่นเต้นในใจไว้ หยิบลูกธนูหัวทู่ส่งให้นาง ทั้งยังสั่งให้คนหยิบลูกท้อไปวางตรงหน้าเฉียวเจาด้วย
นางยื่นมือหยิบลูกท้ออวบๆ สดๆ มาวางบนศีรษะกับสองไหล่จุดละหนึ่งลูกแล้วได้ยินเจียงซือหร่านเอ่ยถาม “คุณหนูหลีซาน ท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“พร้อมแล้ว” เฉียวเจาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ร่างกายทุกส่วนเขม็งเกลียว หากสีหน้าไม่เผยอารมณ์ใด
นางเขม้นมองเจียงซือหร่านโก่งคันธนูเล็งตรงมาที่ตน
ชั่วพริบตานั้น ราวกับเฉียวเจากลับไปยืนอยู่บนกำแพงเมืองหนาวเหน็บให้คนเข่นฆ่าสังหารเหมือนผักปลา
ที่แท้มีความกลัวอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตน