แม่หนูหลีกับแม่หนูเฉียวคล้ายคลึงกันทุกอย่าง หากที่สำคัญกว่าคือตอนเขาเจอแม่หนูหลีครั้งแรกก็พบว่านางว่ามีลักษณะของอาการถอดวิญญาณ แล้วแม่หนูเฉียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขที่แดนเหนือเช่นที่เขานึกไว้ แต่ลาลับจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร…
หมอเทวดาหลี่มีเหงื่อออกกลางฝ่ามือ หัวใจเต้นถี่รัว
จะมีความเป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่นะ
เขารู้ว่าการคาดคะเนนี้น่าตกตะลึงเหลือเชื่อ ถ้าเกิดกับตัวผู้อื่นคงไม่กล้าคิดไปในทางนี้เป็นอันขาด แต่เขาไม่เหมือนใคร ช่วงที่ผ่านมานี้สิ่งที่เขาศึกษามาโดยตลอดก็คือศาสตร์นี้!
หมอเทวดาหลี่กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนอ้าปากพูดหยั่งเชิง “แม่หนูหลี ในเรือนเจ้ามีใครบ้างหรือ”
เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยหมอเทวดาหลี่มิใช่คนที่จะสนใจเรื่องสัพเพเหระเช่นนี้
นางควานหาคำตอบจากความทรงจำของหลีเจาที่เหลืออยู่ในหัวก่อนเอ่ยตอบ “ท่านปู่ล่วงลับไปนานแล้วเจ้าค่ะ ในเรือนมีท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ กับพวกพี่ๆ น้องๆ”
หมอเทวดาหลี่ลูบจมูก
นี่มิใช่พูดก็เหมือนไม่พูดรึ เรือนใครบ้างไม่มีคนพวกนี้ มิใช่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่สักหน่อย
ดูท่าทางสงบนิ่งของแม่นางน้อยแล้ว หมอเทวดาหลี่ยิ่งไม่มั่นใจ เขาลองหยั่งเชิงอีกครั้งอย่างไม่ถอดใจ “แม่หนูหลีเมื่อก่อนเคยได้ยินชื่อแม่ทัพเซ่าหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไป นางนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบในฐานะของแม่นางน้อยหลีเจา “ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่เซ่าหมิงยวนออกรบครั้งแรก เขาก็กลายเป็นดาวแม่ทัพที่เจิดจ้าบาดตาที่สุดไปเสียแล้ว ทั้งยังเปล่งแสงระยิบระยับกลางท้องฟ้าต้าเหลียงมายาวนานถึงเจ็ดแปดปี แล้วจะมีใครไม่เคยได้ยินเล่า
หมอเทวดาหลี่ลอบถอนใจเบาๆ บางทีเขาคงคิดมากไปเอง
หรือบางทีเขาอาจจะคาดหวังอยากให้เด็กที่ฉลาดเฉลียวใจคอกว้างขวางผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่มากจนเกินไป
เมื่อล้มเลิกความคิดที่จะหยั่งเชิงแล้ว หมอเทวดาหลี่ก็หยิบผลไม้สีเขียวๆ ลูกหนึ่งจากในถาดมากัดคำหนึ่ง
“ถุย! เปรี้ยวจนเข็ดฟัน”
หลังผลไม้สีเขียวที่กัดไปแล้วคำหนึ่งถูกโยนออกไปทางนอกหน้าต่างพุ่งลอยเป็นวิถีโค้งอย่างงดงาม ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น
“จอดๆ พวกไร้สำนึกคนใดกันที่โยนผลไม้ออกทางหน้าต่างเช่นนี้”
เฉียวเจาปล่อยม่านหน้าต่างลง สบช่องชำเลืองมองข้างนอกแวบหนึ่ง เห็นหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากวิ่งห้อสุดฝีเท้าไล่กวดตามรถม้ามา เป็นเหตุให้คนบนถนนหยุดยืนมองไปตามๆ กัน
ต่อจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าทันที เขาเดินเข้าไปพูดอธิบายอะไรสักอย่างก็สุดรู้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงจากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
พอองครักษ์ย้อนกลับมา สหายด้านข้างก็ไต่ถามเสียงเบาๆ “หนนี้จ่ายเท่าไรถึงไล่ไปได้”
องครักษ์ตอบด้วยสีหน้าชืดชา “อย่าเอ่ยถึงมันเลย หมดไปอีกสองตำลึงเงินแล้ว”
เหล่าสหายด้านข้างพากันถอนใจ ลอบรำพึงว่าเส้นทางนี้ยากลำบากนักหนา ขืนปล่อยให้ท่านบรรพบุรุษบนรถม้าท่านนั้นก่อความวุ่นวายไปเรื่อยๆ พวกเขาคงต้องเอากระบี่พกไปจำนำแล้ว
หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าละห้อย “เร่งความเร็ว พรุ่งนี้ต้องไปถึงเมืองหลวงให้ได้”