บทที่ 170
“คุณหนูหลีเป็นอย่างไรบ้าง” หยางโฮ่วเฉิงเดินก้าวยาวๆ ด้วยฝีเท้าเร็วรี่เข้าไปเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง เขาไม่รู้จะแทรกเข้าไปทางใด ได้แต่ยืนส่งเสียงถามอยู่ด้านข้าง
เขาเป็นคนคิ้วหนาตาโต ดูองอาจห้าวหาญไม่เหมือนกับบัณฑิตที่สุภาพนุ่มนวล กระนั้นสตรีชั้นสูงของเมืองหลวงกลับชื่นชอบหลงใหลบุรุษสง่างามและหล่อเหลาละมุนละไมดุจภาพวาดเฉกเช่นฉือชั่น แรกเห็นชายหนุ่มตัวโตสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินเข้ามา พวกนางสะดุ้งโหยงทันใด ลุกลนแยกออกไปด้านข้างจึงเผยให้เห็นเฉียวเจา
“คุณหนูหลี…” หยางโฮ่วเฉิงเห็นมือข้างที่กุมแก้มไว้ของเฉียวเจาเต็มไปด้วยโลหิตแดงฉาน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน ก้าวขาจะเดินเข้าไปแต่ถูกจูเยี่ยนรั้งตัวไว้
“คุณหนูหลี ท่านไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวหมอก็มาถึงแล้ว” จูเยี่ยนดึงตัวหยางโฮ่วเฉิงไปยืนนิ่งๆ อยู่ไม่ไกล เขาพูดปลอบเฉียวเจาแล้วหันหน้าไปเอ่ยกับตู้เฟยหยาง “ญาติผู้น้อง เจ้าบอกให้เด็กรับใช้ของข้ากลับไปที่จวนไท่หนิงโหวโดยไว ในเรือนข้ามียาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นดี ไม่แน่ว่าจะใช้เป็นประโยชน์ได้”
“อื้อ” ตู้เฟยหยางมองเด็กสาวที่อยู่ในสภาพน่าตกใจด้วยสายตาสับสนปนเปปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบสั่งคนไปบอกให้เด็กรับใช้ของจูเยี่ยนรู้
“น้องหลีซาน เจ็บหรือไม่” ใบหน้าของซูลั่วอีเผือดขาว นางร้อนใจจนเม็ดเหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผากเรียบเนียน
“น้องเจา บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลีเจี่ยวเริ่มสะอื้นไห้
โอวหยางเวยอวี่เดินเข้าไปยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดส่งให้ “คุณหนูหลีซาน ใช้นี่ปิดแผลไว้เถอะ”
เฉียวเจาผละมือออก รับผ้าเช็ดหน้าจากนางแล้วฝืนกล่าวขึ้น “ขอบคุณ…”
นางอุตส่าห์แอบเตรียมใจไว้นับครั้งไม่ถ้วน คิดไม่ถึงว่ายังคงเจ็บมากเหลือเกิน เมื่อครู่นี้ยังชาอยู่ ตอนนี้ค่อยๆ รู้สึกถึงความเจ็บได้แล้ว
ชั่วพริบตาที่เฉียวเจาเอามือออก บาดแผลที่แก้มขวาก็ปรากฏต่อเบื้องหน้าสายตาทุกคน พลันบังเกิดเสียงร้องอุทานดังขึ้นเป็นทอดๆ เด็กสาวทุกคนที่เห็นบาดแผลบนใบหน้านางล้วนหน้าถอดสีอย่างเสียขวัญ
“สวรรค์! โดนบาดเป็นแผลยาวเลยหรือนี่ ซ้ำยังอยู่บนใบหน้า คุณหนูหลีซานเสียโฉมแล้วใช่หรือไม่”
“ดูรอยแผลนั่นแล้วหนักหนาเอาการ ถึงใช้ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นเลิศปานใดก็ต้องเหลือรอยแผลเป็น วันหน้าคุณหนูหลีซานต้องลำบากแล้ว”
“โถ น่าสงสารจริงๆ…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังจ้อกแจ้กจนฟังไม่ได้ศัพท์ ละม้ายมีแมลงวันนับไม่ถ้วนบินหึ่งๆ อยู่ริมใบหูเจียงซือหร่าน นางหลับตาลงแล้วตะเบ็งเสียงพูด “หุบปากให้หมด!”
ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบกะทันหัน สายตาทุกคู่มองไปที่ตัวนาง
เจียงซือหร่านขุ่นเคืองใจมากขึ้น ยกคันธนูชี้เฉียวเจาพลางกล่าว “ต้องเป็นเจ้าขยับตัวไปมาแน่ ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางยิงพลาดได้”
พวกเด็กสาวไม่ปริปากสักคำ แต่แค่นเสียงเยาะในใจ สมกับเป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ยโสโอหังถึงเพียงนี้ หาผู้ใดเทียบเทียมมิได้จริงๆ เกรงว่าถึงเป็นองค์หญิงยืนอยู่ที่นี่เมื่อเผชิญกับเด็กสาวที่โดนทำร้ายคงยังไม่ผยองอย่างนี้ กระทั่งขอขมาอย่างขอไปทีสักคำก็ล้วนไม่มี มิหนำซ้ำยังปัดความผิดไปให้คนเจ็บอีก
ถึงเหล่าสตรีในที่นี้ไม่ได้ถูกชะตากับเฉียวเจาทั้งหมด ทว่ารูปโฉมของสตรีมีความสำคัญชั้นใด เห็นคนเสียโฉมไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ย่อมรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างช่วยไม่ได้ ในทางกลับกันก็พร้อมใจกันบังเกิดความเคืองแค้นต่อท่าทางก้าวร้าวระรานของเจียงซือหร่าน
พวกนางต่างเป็นลูกหลานในตระกูลขุนนางและทหารหรือไม่ก็ตระกูลสูงศักดิ์ มีเพียงบิดาของเจียงซือหร่านที่อยู่ในสถานะพิเศษมาก พิเศษถึงขั้นที่ใครๆ ต้องให้ความเคารพสามส่วน แต่กลับยากจะจัดเข้าไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้
เฉียวเจาราวกับเป็นผู้ชมอยู่วงนอก นางมองดูพวกเด็กสาวตำหนิติเตียนเจียงซือหร่านอย่างปราศจากสุ้มเสียงด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
นางอยากหัวร่ออยู่บ้าง แต่ไม่กล้าให้บาดแผลได้รับความกระทบกระเทือน เลยได้แต่คิดคำนึงในใจว่า ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอย่างนี้ ข้าชมชอบยิ่งนัก
ต่อให้ศักดิ์ฐานะของนางเทียบกับทุกคนในงานนี้ไม่ได้ แต่ก็เป็นบุตรสาวของขุนนาง เจียงซือหร่านหมายจะสร้างความอับอายให้นางจึงท้านางเป็นเป้ายิงธนู ได้ใคร่ครวญถึงศักดิ์ศรีและความรู้สึกของนางสักนิดหรือไม่ หากนางเป็นเด็กสาววัยสิบสามผู้หนึ่งจริงๆ หวั่นใจว่าคงกลายเป็นตัวตลกแต่แรก
ถึงแม้ฝีมือยิงธนูของเจียงซือหร่านจะดีสักปานใด จะถือตนว่ามือแม่นไม่เคยพลาดเป้าเพียงใด ล้วนไม่ให้ความเคารพต่อผู้ถูกทดสอบอย่างยิ่งยวด ถึงที่สุดแล้วการที่เจียงซือหร่านตั้งหัวข้อนี้เพื่อกลั่นแกล้งคนเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญกว่าคืออยากอวดฝีมือยิงธนูอันสูงส่งของคุณหนูเจียงผู้ยิ่งใหญ่เพื่อเรียกเสียงปรบมือชื่นชมจากคนทั้งงานเท่านั้น
แม่นางเฉียวร่ำเรียนสิ่งต่างๆ มากมายจากท่านปู่ของนาง แต่ไม่เคยเรียนรู้ว่าคำว่า ‘ก้มหัวต่อความอยุติธรรม’ นั้นเขียนเช่นไร คนที่คิดจะเชิดหน้าชูตาด้วยการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนางจะได้สมดังใจหมายจริงๆ สิเป็นเรื่องแปลก