“นี่พวกท่านหมายความว่าอะไร” เจียงซือหร่านไม่โง่งม การตำหนิติเตียนโดยไร้คำพูดของเด็กสาวทุกคนทำให้นางรู้สึกอับอายเหลือหลาย แต่กลับไม่สามารถดึงตัวคนหนึ่งคนใดออกมาถามไล่เลียงได้ สุดท้ายนางยังคงหันคมหอกกลับไปเล็งที่เฉียวเจา “เจ้าพูดจาบ้างสิ เจ้าขยับตัวไปมาถึงได้พลาดเป้าใช่หรือไม่”
“พอที” หยางโฮ่วเฉิงเดือดดาลในที่สุด เขาเดินสองสามก้าวไปอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กสาวทั้งสอง พูดกับเจียงซือหร่านด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าทำร้ายคนแล้วยังแก้ตัวอีกหรือ เป็นใครให้ท้ายเจ้าถึงเพียงนี้ถึงได้กล้าใช้คนมีเลือดมีเนื้อเป็นเป้ายิงธนู บิดาเจ้าใช่หรือไม่”
หยางโฮ่วเฉิงชมชอบแกว่งดาบรำทวนมาแต่วัยเยาว์ จึงไม่ค่อยเข้าร่วมงานสังสรรค์ของพวกคุณชายสูงศักดิ์ สตรีที่รู้จักก็ยิ่งมีน้อย แต่เจียงซือหร่านกับเขากลับรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก เหตุผลหาใช่อื่นใด เพราะไทเฮาเป็นท่านย่าเล็กของเขา สมัยเด็กเขามักถูกเรียกตัวเข้าไปเล่นในวังบ่อยๆ เป็นธรรมดาที่จะได้รู้จักกับเจียงซือหร่านที่เข้าวังเป็นประจำเช่นเดียวกัน
“เจ้า…เจ้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเพราะเหตุใด” ไม่มีใครกล้ากล่าววาจากับนางเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว เจียงซือหร่านอับอายจนพาลโกรธ
“อันว่าถนนไม่เรียบมีคนกลบเกลี่ย เรื่องอยุติธรรมย่อมมีคนก้าวก่าย ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็ดีกว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวาย!” เห็นใบหน้าของเฉียวเจาเปื้อนเลือด หยางโฮ่วเฉิงโมโหสุดจะกล่าว เขาไม่ไว้หน้าเจียงซือหร่านแม้แต่น้อยนิด
นัยน์ตาของจูเหยียนทอประกายวูบหนึ่ง นางมองหยางโฮ่วเฉิงอย่างพินิจคล้ายเพิ่งรู้จักเขาเป็นครั้งแรก
ในกาลก่อนภาพของสหายรักของพี่ชายผู้นี้ในใจนางเป็นคนเอะอะโผงผางไร้เล่ห์กลอุบาย บัดนี้ดูไป คนเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็เหนือกว่าพี่ชายของนางที่ดีแต่ร้อนรนโดยไม่ทำอะไร
จูเหยียนปรายตามองพี่ชายของตนแวบหนึ่ง เขานึกว่านางโง่เขลารึ อย่าเห็นว่าพี่ชายของนางทำสีหน้าท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อน ก็หลอกได้แต่คนนอกเท่านั้น แท้จริงแล้วเป็นห่วงมากเท่าใดก็สุดรู้ ดูเส้นเลือดตรงหลังมือสิปูดโปนหมดแล้วมิใช่หรือ
ว่าแล้วเชียว พี่ห้ากับคุณหนูหลีซานรู้จักกันแน่นอน
ขณะที่ความคิดพวกนี้ผุดวาบขึ้นในหัวของเด็กสาว นางเห็นจูเยี่ยนส่งสายตาให้ตนเอง
ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รู้ใจกันดี จูเหยียนเข้าใจความหมายของพี่ชายได้อย่างว่องไว นางสืบเท้าก้าวหนึ่งเข้าไปประคองเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ข้าประคองท่านไปรอในเรือนเถอะ”
นางอยู่ใกล้ที่สุดเลยเห็นได้ชัดถนัดตา บันดาลให้อดกัดริมฝีปากล่างไว้ไม่ได้
นี่น่าจะเจ็บมากเลยนะ ทว่าคุณหนูหลีซานกลับไม่ร้องสักแอะ…
“ไม่ต้องหรอก” เฉียวเจาอ้าปากพูดแล้วมองไปทางตู้เฟยเสวี่ยที่เป็นเจ้าภาพงานนี้ “คุณหนูตู้ ข้าอยากขอตัวกลับแล้ว”
ตู้เฟยเสวี่ยชักสีหน้าไม่ดี “นี่จะได้อย่างไร ท่านกลับไปเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจวนกู้ชางป๋อของข้าหรือ”
“นั่นสิ น้องเจา ใบหน้าเจ้ามีเลือดไหลตั้งมาก จะอย่างไรก็ต้องรอหมอทำแผลให้แล้วค่อยกลับเรือนนะ” หลีเจี่ยวช่วยพูดกล่อม
เฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลไว้ ยืนกรานด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ไม่ได้ ข้าต้องกลับเรือนแล้วค่อยทำแผลเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นไม่ได้นะ เช่นนี้เป็นการจงใจสร้างความลำบากใจให้ข้า ได้รับบาดเจ็บในจวนพวกข้าแล้วกลับไปในสภาพเช่นนี้ คนอื่นจะมองจวนกู้ชางป๋อด้วยสายตาเช่นไร” ตู้เฟยเสวี่ยหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย รู้สึกว่ากล่าวคำนี้ฟังดูแล้งน้ำใจอยู่บ้าง นางจึงกล่าวเสริมขึ้น “เหนือสิ่งอื่นใดท่านทำแผลก่อนถึงไม่กลัดหนอง วันหน้าก็จะรักษาให้หายดีได้ง่ายขึ้น”
“ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นพยานได้ว่าข้าจะกลับไปเอง จะไม่ตำหนิโทษคุณหนูตู้เป็นแน่” ข้างแก้มเจ็บมากขึ้นทุกที อุ้งมือของเฉียวเจาเปียกเหงื่อจนเย็นเฉียบ นางพูดประโยคนี้จบก็ยอบกายคารวะแล้วตั้งท่าเดินออกไปทันที