บทที่ 171
“เจ้าหยุดนะ!” เจียงซือหร่านยืนขวางทางเฉียวเจาด้วยสีหน้าขุ่นมัว สร้างความอับอายขายหน้าให้นางมากถึงเพียงนี้ ก็คิดจะให้แล้วกันไปเท่านี้รึ
เม็ดเหงื่อบนหน้าผากเด็กสาวไหลหยาดลงมาดุจสายฝนเพราะความเจ็บปวด ผสมกับคราบเลือดทิ้งรอยเป็นทางคดเคี้ยวไปตามใบหน้าที่ซีดขาวราวหิมะของนางดูน่าขนลุกขนพองมากขึ้น
ทว่าสายตาของเด็กสาวกลับเฉยเมยดุจเก่า นางยิ้มน้อยๆ กับท่าทางคุกคามของคุณหนูเจียงผู้ยิ่งใหญ่ “คุณหนูเจียง หากคราวนี้ไม่พึงพอใจ ไว้คราวหน้าพวกเราค่อยประชันกันต่อ ตอนนี้ขอให้ข้ากลับเรือนไปทำแผลก่อนเถอะ”
“เจ้า…” เจียงซือหร่านถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางถือใจตนเป็นใหญ่จนเป็นนิสัย แต่ไม่เคยพบสตรีคนใดที่ใบหน้าเลือดไหลแล้วยังเยือกเย็นเช่นนี้ เยือกเย็นจนทำให้นางหนาวเยือกในอก
เฉียวเจายังคงแสดงกิริยามารยาทได้อย่างเหมาะสม นางผงกศีรษะให้เจียงซือหร่านเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้ รบกวนท่านส่งคนไปตามสาวใช้ของข้ามาที”
นางกล่าวจบแล้วสาวเท้าออกไป ตอนเดินผ่านข้างตัวหยางโฮ่วเฉิงกับจูเยี่ยนยังหยุดฝีเท้ากล่าวคำขอบคุณอย่างเปิดเผย “ขอบคุณพี่หยางกับพี่จูมากเจ้าค่ะ”
หยางโฮ่วเฉิงหลุดปากกล่าวขึ้นโดยอารมณ์ชั่วแล่น “คุณหนูหลี ข้าพาท่านไปส่ง”
แม้แต่เด็กสาวผู้หนึ่งยังตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็นับได้ว่าเป็นสหายของนาง เห็นนางบาดเจ็บและถูกคนรังแกกลับเอาแต่มองตาปริบๆ เพราะติดขัดที่ธรรมเนียมประเพณี นี่จะไม่น่าขันหรือ
จะธรรมเนียมประเพณีอะไรก็ช่างมันปะไร อย่างมาก…
หยางโฮ่วเฉิงได้สติ เขาคิดอย่างกระดากใจ อย่างมากก็รับนางเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วกัน แค่กๆ ให้เป็นภรรยา นางยังเด็กเกินไปสักหน่อยจริงๆ เขามิใช่เจ้าฉือชั่นสักหน่อย ไม่อาจคิดอะไรเกินเลยกับสาวน้อยอายุแค่นี้ได้จริงๆ
จูเยี่ยนจับไหล่ของหยางโฮ่วเฉิงไว้ หันศีรษะไปบอกกับตู้เฟยหยางที่ทำท่าอึกๆ อักๆ อยู่ตลอด “ญาติผู้น้อง ให้คุณหนูหลีกลับไปเช่นนี้ไม่ใคร่เหมาะนัก พวกข้ากำลังจะกลับพอดี ก็สบช่องแวะไปส่งนางด้วยเลยเถอะ ทางที่ดีเจ้าบอกให้ท่านอาหญิงรับทราบไว้ แล้วมอบหมายให้ผู้ดูแลที่เชื่อใจได้ไปด้วยกัน”
ตู้เฟยเสวี่ยหันขวับมามอง นางกัดริมฝีปากล่างสุดแรง
ญาติผู้พี่จะไปส่งหลีซาน?
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางแจ่มแจ้งดีกว่าใคร แม้นญาติผู้พี่จะสุภาพมีมารยาทกับผู้อื่น ทว่าแต่ไรมาไม่เคยยื่นมือยุ่งเรื่องชาวบ้านพรรค์นี้
หรือว่า…
ตู้เฟยเสวี่ยหันไปมองเฉียวเจา
หรือว่าญาติผู้พี่ถูกตาต้องใจหลีซาน?
นางยิ่งคิดยิ่งวุ่นวายใจ สายตาที่มองเฉียวเจาคมปลาบดุจใบมีด
“ได้ ข้าจะไปขออนุญาตท่านแม่เดี๋ยวนี้เลย” ตู้เฟยหยางกล่าว
มีคนได้รับบาดเจ็บในเรือนของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรจวนกู้ชางป๋อก็ปัดความผิดชอบไม่ได้ ส่งผู้ดูแลคนสำคัญในจวนถือของขวัญไปเยี่ยมเยือนขอขมาเป็นธรรมเนียมพื้นฐานที่สุด
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องไปเรียกผู้ดูแลแล้ว” ตู้เฟยเสวี่ยสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยปากขึ้น “ข้าไปจวนสกุลหลีกับคุณหนูหลีซานเอง”
“เฟยเสวี่ย เจ้า…” ตู้เฟยหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขารู้กระจ่างแจ้งกว่าผู้ใดว่าน้องสาวชังน้ำหน้าหลีซานปานใด
อันที่จริงมิใช่แค่น้องสาว เขาเองก็ชมชอบหลีซานที่ใดกันเล่า
เมื่อคิดไปถึงที่หลีเจาเฝ้าตามตื๊อเขาและข่มเหงรังแกญาติผู้พี่หลีเจี่ยวในกาลก่อน แววรังเกียจเดียดฉันท์ผุดวาบขึ้นในดวงตาของตู้เฟยหยาง เขาเม้มปากกล่าวขึ้น “ก็ได้ เจ้าส่งคุณหนูหลีซานกลับไปก่อน ข้าจะไปบอกกล่าวท่านแม่สักคำ”
“ญาติผู้น้องวางใจได้ ยังมีข้าอีกคน ข้าจะดูแลน้องสาวสองคนให้ดีเอง” หลีเจี่ยวปริปากขึ้นอย่างถูกจังหวะ
เฉียวเจาสาวเท้าเดินไปข้างนอกแล้ว
นอกประตูใหญ่ของจวนกู้ชางป๋อมีรถม้าจอดอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นเป็นรถม้าม่านสีเขียวที่ไม่เด่นสะดุดตาสักนิดจอดชิดข้างกำแพง สารถีหนุ่มยืนพิงกำแพงเงียบๆ อย่างใจลอย
เป็นเพราะอะไรกันแน่นะข้าถึงได้คิดสั้นมาเป็นสารถี วันเวลาช่างน่าเบื่อเหลือหลาย!