เสียงอึกทึกดังลอยมาจากหน้าประตู เฉินกวงสารถีน้อยผู้มีประสาทหูฉับไวหันไปมองต้นเสียงปราดเดียวก็เห็นเฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดแก้มข้างหนึ่งเดินออกมา มีรอยเลือดเปรอะตามใบหน้าและเนื้อตัวเป็นดวงๆ
สีหน้าของเฉินกวงแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาเดินฉับๆ เข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ไม่หลงเหลือท่าทางเฉื่อยชาใดๆ ให้เห็นอีก
“คุณหนู ท่านบาดเจ็บได้อย่างไร เป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ” เฉินกวงกวาดตามองใบหน้าหมู่คนที่ตามเฉียวเจามาทีละคนด้วยแววตาเย็นชาดุดันเป็นพิเศษ
มารดามันเถอะ แม้ข้าจะติงว่าวันเวลาน่าเบื่อ แต่มิได้วาดหวังว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูหลีนะ
สมควรตาย ข้าไม่ได้คุ้มครองคุณหนูหลีให้ดีอีกแล้ว!
ความเจ็บปวดแสบร้อนตรงข้างแก้มทำให้เฉียวเจาไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดจา นางเอ่ยสั่งสั้นๆ “กลับจวน”
“ขอรับ” เฉินกวงจ้องหน้าทุกคนนิ่งๆ พลางนึกในใจ ข้าจดจำคนพวกนี้ไว้หมดแล้ว อย่าให้รู้ว่าผู้ใดเป็นตัวการทำให้คุณหนูหลีได้รับบาดเจ็บ จะดักตีศีรษะคนผู้นั้นให้น่วมไปเลย
อะไรรึ? ไม่พึงทำร้ายสตรี?
ท่านแม่ทัพเคยสอนสั่งพวกข้ามาตั้งนานแล้วว่าแยกแยะแต่ฝ่ายเดียวกันกับฝ่ายศัตรู ไม่มีแบ่งบุรุษกับสตรี!
อาจูที่หน้าซีดขาวประคองเฉียวเจาขึ้นรถม้า
เฉินกวงเห็นหลีเจี่ยวจะตามขึ้นมาก็กางมือขวางไว้พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “คุณหนูขอรับ รถม้าคันเล็ก นั่งหลายคนอย่างนี้ไม่ได้”
เขาพูดจบก็กระโดดขึ้นรถม้าอย่างปราดเปรียว ตวัดแส้ม้าทีหนึ่งแล้วควบขับรถม้าจากไปอย่างเร็วรี่ราวกับเหาะ ทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลังกับฝุ่นตลบอบอวล
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา
“ดูเหมือนพวกเราจะกังวลใจโดยใช่เหตุแล้ว” จูเยี่ยนคิดถึงบาดแผลบนใบหน้าเฉียวเจา พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
หยางโฮ่วเฉิงมองดูฝุ่นควันบนถนนอย่างเหม่อลอยนานครู่ใหญ่ถึงดึงสติคืนมาได้ เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางพูดพึมพำ “จื่อเจ๋อ เจ้ารู้สึกว่าสารถีคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ อยู่สักหน่อยหรือไม่ รู้สึกไม่วายว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน”
“อย่างนั้นหรือ” จูเยี่ยนทำท่าครุ่นคิด
ตู้เฟยเสวี่ยกระทืบเท้า “นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีมารยาทแม้สักนิด!”
รถม้าที่เตรียมไว้ของจวนกู้ชางป๋อจอดรออยู่ด้านหน้า ตู้เฟยเสวี่ยยกชายกระโปรงก้าวขึ้นไปแล้วหันตัวมาเอ่ยถาม “ญาติผู้พี่ พวกท่านขี่ม้าไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เปล่า ญาติผู้น้องรีบตามคุณหนูหลีซานไปเถอะ พวกข้ากลับก่อนล่ะ”
ตู้เฟยเสวี่ยอึ้งงัน ก่อนจะหลุดปากถามขึ้น “ญาติผู้พี่ พวกท่านไม่ไปแล้วหรือ”
จูเยี่ยนทั้งขบขันทั้งอ่อนใจ “ในเมื่อคุณหนูหลีซานกลับไปก่อน พวกข้าก็ไม่ต้องตามไปแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงไม่ชมชอบคุณหนูตู้ที่ตามตื๊อสหายรักเสมอผู้นี้อย่างมาก เขาฉุดตัวจูเยี่ยนออกเดินพลางกล่าว “รีบกลับเถอะ ยังมีธุระอีกนะ”
พอเห็นพวกจูเยี่ยนจากไปต่อหน้าต่อตา ตู้เฟยเสวี่ยซึ่งนิ่งค้างอยู่ในท่ายกชายกระโปรงอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา รู้แต่แรกนางก็ไม่ขันอาสาไปจวนสกุลหลีแล้ว
เจ้าสารถีผู้นั้นสมควรตายนัก!
“พี่เจี่ยว ขึ้นรถม้าเถอะ” ตู้เฟยเสวี่ยกัดริมฝีปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์
รอเมื่อหลีเจี่ยวเข้ามาในตัวรถม้า ตู้เฟยเสวี่ยจึงถามไถ่ “สารถีของหลีซานคนนั้น ไฉนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเจ้าคะ”
“เป็นท่านหมอเทวดาส่งมาให้นาง” หลีเจี่ยวรู้สึกห่อเหี่ยวใจยิ่ง วันนี้นางไม่สมควรมาเลยจริงๆ หลีซานได้หน้าได้ตาครั้งใหญ่ ส่วนนางได้แค่มองตาปริบๆ ซ้ำยังโดนเปรียบเทียบจนนางยิ่งดูสามัญไร้ความโดดเด่น แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับหลีซาน นางกลับต้องรับผิดชอบอย่างหนีไม่พ้น ตอนกลับถึงเรือนพวกท่านย่าต้องคิดว่านางไม่ได้ดูแลน้องสาวให้ดีอย่างแน่นอน
“หมอเทวดาท่านนั้นดีต่อนางถึงเพียงนี้ กระทั่งสารถีก็ส่งมาให้หรือเจ้าคะ”
“มิใช่แค่นี้เท่านั้นนะ” หลีเจี่ยวจาระไนของขวัญที่เฉียวเจาได้รับในวันนั้นให้นางฟังราวกับนับสมบัติในเรือนตน
ตู้เฟยเสวี่ยฟังแล้วอ้าปากค้าง กล่าวอย่างหัวไวขึ้นมากะทันหัน “พี่เจี่ยว ท่านบอกว่าหมอเทวดามอบสมุนไพรล้ำค่าหีบหนึ่งให้หลีซานด้วยมิใช่หรือ จะมีของดีๆ อะไรหรือไม่ หลีซานถึงต้องกลับเรือนไปทำแผล”
หลีเจี่ยวเฉลียวใจ “ข้ากลับไปแล้วจะลอบสอบถามดู”
ใครๆ ล้วนพูดว่าหมอเทวดาท่านนั้นสามารถชุบชีวิตคน ดีไม่ดีอาจมียาวิเศษอะไรมอบให้น้องเจาก็เป็นได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.